น็อตร่วมประมูลบลายธ์ครบ 1 ปี

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

การเลือกซื้อคอนแทคเลนส์


คอนแทคเลนส์, บิ๊กอาย, ดวงตา, ตา, สีตา, สายตา

คอนแทคเลนส์สิ่งที่สาวๆ ในยุคปัจจุบันนิยมกันเป็นอย่างมาก สาวๆ ที่เลือกใส่คอนแทคเลนส์ส่วนใหญ่บอกว่า เหตุผลที่เลือกใส่คอนแทคเลนส์เพราะราคา สี แบบ อายุการใช้งานที่หลากหลาย และเมื่อมีเรื่องแฟชั่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ความงามจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่คอนแทคเลนส์นั้นได้รับความนิยม โดยเฉพาะแบบ “บิ๊กอาย” ที่ใส่แล้วจะทำให้ดวงตาดูกลมโต น่ารัก สไตล์สาวแดนกิมจิ

เมื่อคอนแทคเลนส์เกิดความนิยมมาก พ่อค้าจึงนำคอนแทคเลนส์มาขายเพื่อตอบสนองความต้องการ แถมยังจูงใจด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ทั้งลด แลก แจก แถม! ล่าสุด มีร้านค้าแห่งหนึ่งหลอกขายคอนแทคเลนส์ ด้วยการนำคอนแทคเลนส์ชนิดรายวันยี่ห้อหนึ่ง มาอ้างว่าเป็นชนิดรายเดือน โดยการใช้ปากกาเมจิกเขียนทับข้อความ “1 Day” ว่า “บิ๊กอาย” และจูงใจว่า ซื้อ 1 แถม 1 ในราคาที่คุ้มสุดๆ เพียง 450 บาท เมื่อลูกค้าตกลง ซื้อพนักงานขายก็จะบอกให้ใส่คอนแทคเลนส์ทันที 1 คู่โดยอ้างเหตุผลว่าจะต้องนำชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ส่งกลับไปยังบริษัทผู้ผลิต เป็นหลักฐานการแถมสินค้าตามโปรโมชั่น ส่วนอีกคู่ เขาก็จะรีบใส่ถุงหูหิ้วแล้วเย็บแม๊กปิดทันที เนื่องจากภายในร้านตั้งเงื่อนไขไว้ว่า “สินค้าซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยนหรือแลกเงินคืน” ทันทีที่ลูกค้าคนดัง กล่าวกลับถึงบ้านก็อยากจะชื่นชมสินค้าที่ซื้อมาได้ในราคาอันคุ้มค่า เมื่อแกะถุง นิ้วมือบังเอิญไปถูบริเวณหมึกจากปากกาที่เขียนว่า “บิ๊กอาย” ให้เลือนออก และปรากฏเป็นคำว่า “1 Day”! สายตาที่พยายามจับจ้องดู ให้แน่ใจ ก็ทำให้ได้คำตอบว่า “ถูกหลอก” แม้จะเป็นราคาเพียงไม่กี่ร้อย แต่เมื่อคิดถึงความปลอดภัยในระยะเวลาการใช้งานที่แตกต่างกันระหว่างแบบ “1 วัน กับ 1 เดือน” มันทำให้เธอเป็นห่วงสุขภาพดวงตา เพราะการใส่คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุอาจส่งผลให้มีปัญหาสายตา รุนแรงถึงขั้นตาปอด เพราะคอนแทคเลนส์หมดสภาพ ไม่มีออกซิเจนไปหล่อที่ดวงตา วันรุ่งขึ้น เธอนำคอนแทคเลนส์ที่ซื้อมาจากร้านค้าจอมลวงไปคืน เบื้องต้น เจ้าของร้านและพนักงานขายบ่ายเบี่ยงที่จะคืนเงิน โดยเสนอให้เปลี่ยนเป็นยี่ห้อ หรือแบบ แต่ด้วยความหมดศรัทธาเนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์ เธอจึงยืนกรานเสียงแข็งขอเงินคืน จนในที่สุดเจ้าของร้านก็ต้องยอม

หากคุณผู้หญิงจำเป็นที่จะต้องซื้อคอนแทคเลนส์มาใส่ ควรตรวจดูสินค้า ลักษณะของบรรจุภัณฑ์อย่างละเอียด ไม่ควรเลือกซื้อสินค้าจากร้านที่มีการเขียนข้อความบดบังรายละเอียด ตรวจเช็คสินค้าทันทีหากทางร้านบรรจุใส่ลงในถุง และที่สำคัญควรเลือกซื้อคอนแทคเลนส์โดยพิจารณาความเหมาะสมทางด้านราคาและ อายุการใช้งานที่สอดคล้องกัน ทางที่ดีควรเลือกร้านค้าที่มีมาตรฐานและเชื่อถือได้

พบจานบินที่จีน จนต้องปิดสนามบิน


ประเทศจีนต้องวุ่นวายหลังจากที่มีคนพบวัตถุลึกลับบินเหนือน่านฟ้า ณ เมืองฮั่งซู ทำให้ต้องปิดสนามบินชั่วคราวทำให้นักท่องเที่ยวจีนติดค้างจำนวนมาก ข่าวนี้ทางเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของเมืองจีนเมืองหนึ่ง อ้างว่าจานผีที่เป็นต้นเหตุให้การจราจรทางอากาศต้องหยุดชะงักนั้น “มีความเกี่ยวข้องทางทหาร”

หนังสือพิมพ์รายวัน “ไชน่า เดลี่” ได้อ้างเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่เมืองฮั่งซู เมืองหลวงของมณฑลซูเจียงว่า ตามที่เจ้าหน้าที่สนามบินเฮียวชาน ได้สั่งปิดสนามบินชั่วคราวเมื่อวันก่อน เพราะปรากฏมีจานบินขึ้น และเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับทางทหาร

ขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ทางการ จีน “โกลบอล ไทมส์” อีกฉบับหนึ่ง ก็เสนอข่าวเช่นกันว่า มีผู้พบจานบินลำหนึ่งซึ่งมีหางเป็นแสงสีขาวรูปพัดเหนือเมืองอุรัมจี เมืองหลวงของแคว้นปกครองตนเองอู้เก๋อ ซินเจียง แต่ต่อมานายซุง ฮั่วกัง เลขาธิการทั่วไปของสมาคมดาราศาสตร์ซินเจียง ได้แถลงว่า วัตถุนั้นเป็นชิ้นส่วนของอาวุธปล่อยข้ามทวีปของสหรัฐฯ. ท่องเที่ยวจีน, เที่ยวจีน

ตักบาตรอย่าถามพระ แต่สนใจสุขภาพพระดีกว่า


จากคำโบราณที่ว่าตักบาตรอย่างถามพระ มาในยุคปัจจุบันยุคที่กระแสการรักษ์สุขภาพกำลังมาแรง คำยุคปัจจจุบันก็กลายมาเป็น ตักบาตรอย่างถามพระแต่สนใจสุขภาพพระ โครงการนี้นำโดย ฯพณฯ พลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี และคุณหญิงสุมณฑา วิสุทธารมณ์ (ซ้ายสุด) นำคณะร่วมรักษ์ใจ ใส่บาตร อาทิ ท่านผู้หญิงนราวดี ชัยเฉนียน, ท่านผู้หญิงรวิจิตร สุวรรณบุปผา, ท่านผู้หญิงอรนุช อิศรางกูร ณ อยุธยา.

เพื่อสานต่อโครงการการ กุศล “รักษ์ใจ ไหว้พระ” ของ นายแพทย์กิติพันธ์ วิสุทธารมณ์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจที่ล่วงลับ ซึ่งให้ การดูแลพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ นำทีมโดย นายแพทย์ ประดับ สุขุม ผู้อำนวยการโรงพยาบาล จึงจัดกิจกรรมต่อยอดเจตนารมณ์ของคุณหมอกิติพันธ์ ให้เป็นผลสำเร็จในโครงการ “รักษ์ใจ ใส่บาตร” โดยได้จัดงานเปิดตัว ซึ่งมี ฯพณฯ พลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็น ประธานเปิดงาน และมีผู้มาร่วมกิจกรรมการกุศลนี้อย่างคับคั่ง อาทิ ท่านผู้หญิงพรรณวดี จุฑารัตนกุล, ท่านผู้หญิงรวิจิตร สุวรรณบุปผา, ท่านผู้หญิงนราวดี ชัยเฉนียน, ท่านผู้หญิงอรนุช อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เมื่อเร็วๆนี้

ภายในงาน นพ.ประดับ สุขุม กล่าวว่า โครงการ รักษ์ใจ ใส่บาตร เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการรักษ์ใจ ไหว้พระ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 พ.ย.2550-11 ธ.ค.2551 ซึ่งคุณหมอกิติพันธ์ วิสุทธารมณ์ เป็นประธานโครงการ ได้นำทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ไปให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น พร้อมให้คำปรึกษาและการบรรยายให้ความรู้เรื่องโรคหัวใจ ซึ่งหลัง จากเสร็จสิ้นโครงการพบว่า มีพระภิกษุสงฆ์อาพาธด้วยโรคหัวใจสูงกว่า 300 รูป จาก 82 วัดทั่วกรุงเทพฯ เพื่อเป็น การสานต่อเจตนารมณ์ที่ต้อง การช่วยเหลือและสร้างประโยชน์ต่อสังคมไปพร้อมกับทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ ยืนยาวสืบไป อีกทั้งยังเป็นวาระโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวันที่ 12 ส.ค. 2555 โรงพยาบาลจึงได้จัดโครงการรักษ์ใจ ใส่บาตร เพื่อน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศล

คุณหมอประดับกล่าวต่อว่า โรงพยาบาลจึงได้ดำเนินการระดมทุนเพื่อหารายได้ และเตรียมรักษาพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคหัวใจ โดยจะเปิดจุดรับบริจาคในบริเวณ โรงพยาบาล ซึ่งระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.2553-12 ส.ค.2555 นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายพวงกุญแจรูปหัวใจราคา 199 บาท ส่วนผู้ที่อยากร่วมบริจาคสามารถสมทบทุนผ่านบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารทหารไทย ชื่อ คณะบุคคล กองทุนวิจัย โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เลขที่ 071-2-41772-7 หรือสอบถามได้ที่โทร.1719

นพ.ประดับ สุขุม ชักชวน นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ, องคมนตรีพลากร สุวรรณรัฐ และท่านผู้หญิงพรรณวดี จุฑารัตนกุล พร้อมลูกชาย-ลูกสะใภ้ ศรา-อ้อม (พิยดา) ร่วมกิจกรรมการกุศล.

นอก จากนี้ ยังได้มีการพูดคุยในเรื่อง “การเลือกอาหารใส่บาตร” โดย คุณหมึกแดง-ม.ล.ศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ แนะนำว่า เวลาใส่ บาตรอย่าคิดแต่ว่าผู้ล่วงลับที่เราทำบุญ ให้ชอบกินอะไร หรือเราชอบกินอะไรก็ใส่บาตรแบบนั้น การใส่บาตรถวายพระภิกษุสงฆ์ควรจะดูแลสุขภาพของพระท่านด้วย อาหารที่ถวายควรจะเป็นประเภทผัก ธัญพืช ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ก็ควรเป็นเนื้อปลา หรือถ้าเป็นพวกหมูหรือไก่ ก็ไม่ควรติดมัน หรือ มีหนัง และควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กะทิ หรือไขมันสูง รสชาติก็ต้องไม่เค็มเกินไป หรือหวานเกินไป ทั้งนี้ เพราะพระภิกษุท่านเลือกฉันไม่ได้ และไม่ได้ใช้พลังงานสูงมาก การได้ฉันอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันมากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพท่านได้.

เปลี่ยนรถเมล์ทั่วกรุงครั้งใหญ่


ขสมก. ได้มีการปรับปรุงรถเมล์ครั้งใหญ่ตั้งแต่เปลี่ยนเลขสายรถเมล์ เปลี่ยนเส้นทางเดินรถเพื่อให้เหมาะสมกับการเดินทางคนเมืองกรุงมากขึ้น

“รถเมล์” บริการสาธารณะหลักของกรุงเทพฯ สำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือ การจัดหารถเมล์ปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 4,000 คัน มาให้บริการแทนรถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มีให้บริการอยู่ในขณะนี้จำนวน 3,509 คัน พร้อมกับการปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ใหม่ ให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

เส้นทางรถเมล์ที่ ขสมก.พิจารณาปรับเส้นทางใหม่นี้มีทั้งสิ้น 155 เส้นทาง เป็นเส้นทางที่มีการเดินรถอยู่แล้วในปัจจุบัน 128 เส้นทาง ที่เหลือเป็นเส้นทางใหม่ 27 เส้นทาง โดยหลังจากที่ ขสมก.ได้รถเมล์ใหม่ 4,000 คันมาแล้ว จะต้องมีการเปลี่ยนหมายเลขสายรถเมล์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ระหว่างรอกระบวนการดังกล่าว ขสมก.เริ่มนำหมายเลขสายรถเมล์ใหม่ มาติดไว้ที่ด้านหน้าและด้านข้างของรถเมล์ที่ให้บริการในปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ใช้บริการเริ่มจดจำว่า ในอนาคตรถเมล์ที่วิ่งอยู่นี้จะเปลี่ยนหมายเลขสายใหม่แล้ว

สำหรับหมายเลขรถเมล์ที่ให้บริการในปัจจุบัน และกำลังจะเปลี่ยนใหม่ ประกอบด้วย
สาย 1 ท่าเตียน-ถนนตก เปลี่ยนเป็นสาย 601
สาย 5 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-จักรวรรดิ เปลี่ยนเป็นสาย 603
สาย 8 ถนนนิมิตรใหม่-สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า เปลี่ยนเป็นสาย 606 และตัดระยะทางเหลือถนนนิมิตรใหม่-เซ็นทรัลลาดพร้าว
สาย 9 อู่กัลปพฤกษ์-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ เปลี่ยนเป็นสาย 609 และตัดระยะทางเหลือ อู่กัลปพฤกษ์-สถานีรถไฟบางซื่อ
สาย 10 ท่าน้ำภาษีเจริญ-นางเลิ้ง เปลี่ยนเป็นสาย 610
สาย 12 ห้วยขวาง-ปากคลองตลาด เปลี่ยนเป็นสาย 611
สาย 14 ศรีย่าน-โรงเรียนนนทรีวิทยา เปลี่ยนเป็นสาย 612
สาย 15 เดอะมอลล์ท่าพระ-สีลม-บางลำพู เปลี่ยนเป็นสาย 613 และตัดระยะเหลือ เดอะมอลล์ท่าพระ-สีลม
สาย 18 ท่าอิฐ-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 614
สาย 18 ทางด่วน ท่าอิฐ-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 658
สาย 19 วงกลมสถานีรถไฟบางกอกน้อย-บางลำพู เปลี่ยนเป็นสาย 615 วงกลมสถานีรถไฟบางกอกน้อย-อรุณอัมรินทร์
สาย 20 ป้อมพระจุลจอมเกล้า-ท่าน้ำท่าดินแดง เปลี่ยนเป็นสาย 616 และเพิ่มเป็นสาย 617 ท่าน้ำท่าดินแดง-ท่าน้ำพระสมุทรเจดีย์

สาย 21 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-วัดคู่สร้าง เปลี่ยนเป็นสาย 618
สาย 23 สำโรง-สี่เสาเทเวศร์ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 619 สี่เสาเทเวศร์-สำโรง (เอกมัย) และสาย 620 สี่เสาเทเวศร์-สำโรง (ทางด่วน)
สาย 24 ประชานิเวศน์ 3-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 621
สาย 24 ประชานิเวศน์ 3-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทางด่วน เปลี่ยนเป็นสาย 622
สาย 25 อู่สายลวด-ท่าช้าง เปลี่ยนเป็นสาย 624 ขึ้นทางด่วน
สาย 26 มีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 625 และตัดระยะทางเหลือ มีนบุรี-อู่บางเขน
สาย 29 มธ.ศูนย์รังสิต-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 644 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-สถานีรถไฟหัวลำโพง
สาย 32 ปากเกร็ด-วัดพระเชตุพนฯ เปลี่ยนเป็นสาย 631
สาย 34 รังสิต-พหลโยธิน-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 633 สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต-รังสิต
สาย 36 อู่โพธิ์แก้ว-สี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 635 และตัดระยะทางเป็น ห้วยขวาง-ท่าน้ำสี่พระยา
สาย 37 มหานาค-แจงร้อน เปลี่ยนเป็นสาย 636
สาย 39 มธ.ศูนย์รังสิต-สนามหลวง เปลี่ยนเป็นสาย 627 และตัดระยะทางเป็น สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-มธ.ศูนย์รังสิต พร้อมเพิ่มเป็นสาย 628 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-สถานีขนส่งสินค้าคลองหลวง
สาย 42 วงกลมท่าพระ-เสาชิงช้า เปลี่ยนเป็นสาย 638
สาย 43 โรงเรียนศึกษานารี 2-เทเวศร์ เปลี่ยนเป็นสาย 668 และตัดระยะเป็นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า-โรงเรียนศึกษานารี 2
สาย 44 ตลาดแฮปปี้แลนด์-ท่าเตียน เปลี่ยนเป็นสาย 640
สาย 45 สำโรง-ท่าน้ำสี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 641 และเพิ่มเป็นสาย 642 ขึ้นทางด่วน
สาย 48 วิทยาเขตรามคำแหง-วัดพระเชตุพน เปลี่ยนเป็นสาย 643
สาย 53 วงกลมเทเวศร์ เปลี่ยนเป็นสาย 648
สาย 56 วงกลมสะพาน กรุงธน เปลี่ยนเป็นสาย 650
สาย 57 วงกลมธนบุรี เปลี่ยนเป็นสาย 651
สาย 60 อู่สวนสยาม-ปากคลองตลาด เปลี่ยนเป็นสาย 652 ขึ้นทางด่วน
สาย 62 สาธุประดิษฐ์-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 653
สาย 63 อ.ต.ก.3-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 630 และตัดระยะทางเป็น สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-นนทบุรี
สาย 64 วงกลมสนามหลวง-รัตนาธิเบศร์ เปลี่ยนเป็นสาย 655 และตัดระยะเป็น วงกลมสนามหลวง-นครอินทร์ พร้อมเพิ่มเป็นสาย 721 สนามหลวง-ท่า น้ำนนทบุรี
สาย 67 วัดเสมียนนารี-เซ็นทรัลพระราม 3 เปลี่ยนเป็นสาย 656
สาย 68 บางลำพู-สมุทรสาคร เปลี่ยนเป็นสาย 657
สาย 69 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-รัตนาธิเบศร์-ท่าอิฐ เปลี่ยนเป็นสาย 654 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-กองสลากสนามบินน้ำ
สาย 70 สนามหลวง-ประชานิเวศน์ 3 เปลี่ยนเป็นสาย 660 และเพิ่มสาย 661 ประชานิเวศน์ 3-สถานีรถไฟบางซื่อ
สาย 72 สี่เสาเทเวศร์-ท่าเรือคลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 662
สาย 73 อู่โพธิ์แก้ว-สะพานพุทธ เปลี่ยนเป็นสาย 663 ขึ้นทางด่วน
สาย 75 วัดพุทธบูชา-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 664
สาย 79 อู่บางแค (วัดม่วง)- ราชประสงค์ เปลี่ยนเป็นสาย 666 อู่พุทธมณฑลสาย 2-ราชประสงค์
สาย 81 สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 5 เปลี่ยนเป็น สาย 667
สาย 82 พระประแดง-บางลำพู เปลี่ยนเป็นสาย 669
สาย 85 วัดแจงร้อน-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 670
สาย 88 วัดคลองสวน-ลาดหญ้า เปลี่ยนเป็นสาย 671 อาคารสงเคราะห์ กทม. (ทุ่งครุ)-ลาดหญ้า
สาย 90 ท่าน้ำบางพูน-ย่านสินค้าพหลโยธิน เปลี่ยนเป็นสาย 647 ตัดระยะทางเป็น สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต-ปทุมธานี
สาย 92 การเคหะชุมชนร่มเกล้า-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 607 และตัดระยะทางเป็น การเคหะชุมชนร่มเกล้า-เซ็นทรัลลาดพร้าว
สาย 93 หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง-สี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 675
สาย 95 รังสิต-ม.รามคำแหง เปลี่ยนเป็นสาย 676 และตัดระยะเป็น แฮปปี้แลนด์-รังสิต
สาย 96 สวนสยาม-สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต เปลี่ยนเป็นสาย 712 และเพิ่มระยะทางเป็น สวนสยาม-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
สาย 97 กระทรวงสาธารณสุข-โรงพยาบาลสงฆ์ เปลี่ยนเป็นสาย 678 และตัดระยะทางเป็น โรงพยาบาลสงฆ์-ท่าน้ำนนทบุรี
สาย 102 ปากน้ำ-อู่สาธุประดิษฐ์ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 679
สาย 104 ปากเกร็ด-ถนนติวานนท์-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เปลี่ยนเป็นสาย 680
สาย 105 คลองสาน-ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ เปลี่ยนเป็นสาย 604 สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่-มหาชัยเมืองใหม่
สาย 111 วงกลมตลาดพลู-บุคคโล เปลี่ยนเป็นสาย 683
สาย 113 มีนบุรี-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 682 หัวลำโพง-คลองกุ่ม
สาย 116 วัดหนามแดง-สาทร เปลี่ยนเป็นสาย 686
สาย 166 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-เมืองทองธานี (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 711
สาย 117 กทม.2-อ.ต.ก.3 เปลี่ยนเป็นสาย 687 กทม.2-ท่าน้ำนนทบุรี
สาย 120 คลองสาน-ถนนเอกชัย-สมุทรสาคร เปลี่ยนเป็นสาย 639 วงเวียนใหญ่-สมุทรสาคร และเพิ่มสาย 681 สะพานตากสิน-มหาชัยเมืองใหม่
สาย 123 ท่าราชวรดิฐ-พุทธมณฑลสาย 2-อ้อมใหญ่ เปลี่ยนเป็นสาย 688
สาย 124 สนามหลวง-สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑล เปลี่ยนเป็นสาย 689 สนามหลวง-สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตศาลายา และเพิ่มเป็นสาย 690 สนามหลวง-โรงเรียนกาญจนาภิเษก นครปฐม
สาย 129 บางเขน-สำโรง (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 691
สาย 131 อู่คลองกุ่ม-หนองจอก เปลี่ยนเป็นสาย 692 และเพิ่มเป็นสาย 693 คลองกุ่ม-สำนักงานขนส่งเขตพื้นที่ 4
สาย 134 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-หมู่บ้านบัวทองเคหะ เปลี่ยนเป็นสาย 694
สาย 136 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ท่าเรือคลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 696
สาย 137 วงกลมรามคำแหง-ถนนรัชดาภิเษก เปลี่ยนเป็นสาย 697
สาย 138 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ท่าน้ำพระประแดง (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 699 และเพิ่มสาย 698 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-อู่พระประแดง (ทางด่วน)
สาย 139 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-วิทยาเขตรามคำแหง (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 637
สาย 140 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 700
สาย 141 จุฬา-แสมดำ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 665 แสมดำ-สวนลุมพินี และเพิ่มสาย 709 ท่าเรือคลองเตย-จุฬา
สาย 142 เคหะชุมชนธนบุรี-สมุทรปราการ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 701
สาย 145 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-สมุทรปราการ เปลี่ยนเป็นสาย 703 และตัดระยะทางเป็น แฮปปี้แลนด์-สมุทรปราการ
สาย 146 วงกลมบางแค-ถนนกาญจนาภิเษก เปลี่ยนเป็นสาย 704 และเพิ่มสาย 710 วงกลมอรุณอัมรินทร์-ถนนกาญจนาภิเษก
สาย 150 ปากเกร็ด-มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปลี่ยนเป็นสาย 705 มีนบุรี-ปากเกร็ด
สาย 154 เคหะชุมชนออเงิน-เคหะชุมชนวัชรพล-คลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 706 ท่าเรือคลองเตย-สำนักงานเขตสายไหม
สาย 156 วงกลม โรงเรียนสตรีวิทยา 2 -ถนนนวมินทร์ เปลี่ยนเป็นสาย 708
สาย 168 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ถนนพระราม 9 -สวนสยาม เปลี่ยนเป็นสาย 729 ตัดระยะทางเป็น มีนบุรี-อสมท.
สาย 169 วงกลมบางขุนเทียน-ปิ่นเกล้า-วงเวียนใหญ่ เปลี่ยนเป็นสาย 713
สาย 175 ท่าน้ำภาษีเจริญ-อ.ต.ก.3 เปลี่ยนเป็นสาย 714
สาย 178 วงกลมสุคนธสวัสดิ์-เกษตรนวมินทร์ เปลี่ยนเป็นสาย 715
สาย 179 อู่พระราม 9 -สะพานพระราม 7 เปลี่ยนเป็นสาย 716
สาย 183 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-พุทธมณฑลสาย 2 -อ้อมใหญ่ เปลี่ยนเป็นสาย 605 ตัดระยะทางเหลือ พุทธมณฑลสาย 2-วงเวียนใหญ่
สาย 187 หมู่บ้านเอื้ออาทรคลอง 3 -ท่าน้ำสี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 717 ตัดระยะทางเป็น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-หมู่บ้านเอื้ออาทรคลอง 3
สาย 191 อู่โพธิ์แก้ว-กระทรวงพาณิชย์ เปลี่ยนเป็นสาย 719
สาย 193 วงกลมถนนกัลปพฤกษ์-ถนนพระราม 2 เปลี่ยนเป็นสาย 720
สาย 204 กทม.2-ท่าน้ำราชวงศ์ เปลี่ยนเป็นสาย 649 วงกลมท่าน้ำราชวงศ์-อาคารสงเคราะห์ห้วยขวาง
สาย 205 คลองเตย-ถนนรัชดาภิเษกตอนล่าง เปลี่ยนเป็นสาย 722
สาย 206 ม.เกษตรศาสตร์-ประเวศ เปลี่ยนเป็นสาย 723 ม.เกษตรศาสตร์-อู่ศรีนครินทร์
สาย 207 ม.รามคำแหง-วิทยาเขตรามคำแหง เปลี่ยนเป็นสาย 724
สาย 505 ปากเกร็ด-สวนลุมพินี เปลี่ยนเป็นสาย 726
สาย 509 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-อู่บางแค เปลี่ยนเป็นสาย 727 อู่บางแค-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
สาย 510 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ตลาดไท เปลี่ยนเป็นสาย 629 ตัดระยะทางเป็น สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ตลาดไท
สาย 511 ปากน้ำ-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (ตลิ่งชัน)เปลี่ยนเป็นสาย 728
สาย 513 สำโรง-รังสิต เปลี่ยนเป็นสาย 736 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ปากน้ำ (ทางด่วน)
สาย 514 มีนบุรี-ถนนรัชดาภิเษก-สีลม เปลี่ยนเป็นสาย 730 มีนบุรี-สีลม (ทางด่วน)
สาย 515 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-หมู่บ้านเอื้ออาทร-ศาลายา เปลี่ยนเป็นสาย 731
สาย 516 เทเวศร์-หมู่บ้านบัวทองเคหะ เปลี่ยนเป็นสาย 732
สาย 517 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ลาดกระบัง เปลี่ยนเป็นสาย 733 พระจอมเกล้าลาดกระบัง-อู่พระราม 9
สาย 522 รังสิต-งามวงศ์วาน-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 734
สาย 528 อ.ไทรน้อย-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 735 สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต-อ.ไทรน้อย
สาย 523 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ม.เทคโนโลยีราชมงคล คลอง 6 เปลี่ยนเป็นสาย 738 ถนนศรีอยุธยา-ม.เทคโนโลยีราชมงคล คลอง 6
สาย 537 ศรีอยุธยา-บางพลี เปลี่ยนเป็นสาย 737 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-บางพลี
สาย 543 บางเขน-ลำลูกกาคลอง 9 เปลี่ยนเป็นสาย 740
สาย 549 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-มีนบุรี เปลี่ยนเป็นสาย 742
สาย 550 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-แฮปปี้แลนด์ เปลี่ยนเป็นสาย 743
สาย 551 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-สยามพารากอน (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 744
สาย 552 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-คลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 745
สาย 553 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-สมุทรปราการ เปลี่ยนเป็นสาย 747 และเพิ่มสาย 746 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ปากน้ำ
สาย 554 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-รังสิต (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 749
สาย 555 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 748
สาย 558 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-สะพานพระราม 9 -เซ็นทรัลพระราม 2 เปลี่ยนเป็นสาย 750

ส่วนเส้นทางใหม่อีก 27 เส้นทาง จะเริ่มวิ่งให้บริการหลังจากได้รถเมล์ใหม่ 4,000 คัน พร้อมกับการเปลี่ยนหมายเลขสายรถเมล์เก่าทั้งหมดเป็นเลขหมายใหม่ และออกวิ่งให้บริการพร้อมกันทั่วกรุงเทพฯ คาดว่าจะเริ่มต้นอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า

ประวัติเพลงHappy Birthday


คงไม่มีใครไม่รู้จักเพลงแฮปปี้เบิดร์เดย์จริงไหมครับ แต่คงมีน้อยคนจะรู้ว่าที่มาขอเพลงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้ผมไปเจอข้อมูลดีๆ จากเว็บ sanook.com ได้พูดถึงที่มาจของเพลง happybirthday ไว้ผมเลยแวะนำมฝากทุกๆ คนครับ ไม่มีงานวันเกิดไหนที่จะสมบูรณ์ได้ปราศจากเค้ก เทียนและการร้อง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู” บท เพลงนี้คุ้นหัวคนทั่วโลกแต่คนแต่ง กลับยังคงเป็นปริศนาทำนองหรือเมโลดี้ของเพลงนี้ ถูกแต่งขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 โดยแพตตี้ และมิลเดรด ฮิลล์ พี่น้อง 2 สาวชาวอเมริกันจากรัฐเคนทักกี้ ซึ่งมีอาชีพเป็นครูทั้งคู่แรกเริ่มนั้น

เนื้อเพลงไม่ได้เป็นอย่างในปัจจุบัน โดยแทนที่จะเป็น “happy birthday to you,” กลับเป็น “good morning to all” ในปี 1893 ขณะที่มิลเดรดเป็นครูที่โรงเรียน Louisville Experimental Kindergarten Schoolโดย แพตตี้ ผู้เป็นน้องสาวนั้นเป็นครูใหญ่ มิลเดรดแต่งทำนองเพลงนี้ขึ้น โดยแพตตี้ก็แต่งเนื้อร้องให้จนได้เพลงชื่อ “Good Morning to All” ซึ่งพี่น้อง 2 คน

ใช้เป็นเพลงทักทายเด็กในชั้นเรียน เนื้อเพลงตามต้นฉบับดั้งเดิม มีดังนี้

Good morning to you
Good morning to you
Good morning, dear children
Good morning to all

ต่อมา บทเพลงดังกล่าวก็ถูกพิมพ์ลงหนังสือเพลง “Song Stories For The Kindergarten” จึงเป็นที่รู้จักและครูในโรงเรียนอื่น ก็ใช้เอาไปร้องทักนักเรียนด้วย จากนั้นไม่นานก็เป็นที่นิยมสำหรับเด็ก นักเรียนเอาไปใช้ร้องกับครูแทน และก็เป็นที่รู้จักในชื่อ “Good Morning To You”

เนื่องจากเนื้อเพลงท่อนที่ 3 นั้นถูกเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมแต่สำหรับใครเป็นผู้คิดแต่งเนื้อพลงให้กลายเป็น “Happy Birthday to You” ยังไม่แน่ชัดว่าใครเป็นคนแต่งขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่าเนื้อเพลง นี้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ในหนังสือเพลงฉบับหนึ่ง ในปี 1924

โดยเป็นเนื้อเพลงบทที่ 2 ของเพลง “Good Morning to You” จากนั้นหนังหลายเรื่องและรายการวิทยุก็นำไปใช้เป็นเพลงอวยพรวันเกิด จาก”Good Morning To You” ก็เลยเปลี่ยนไปเป็น “Happy Birthday To You” ในที่สุด

สัญญาณบอกอาการไส้ติ่งอักเสบ


อาการปวดของไส้ติ่งแบบมาตรฐาน จะเริ่มปวดทั่วๆ บอกตำแหน่งแน่นอนไม่ได้ มักเป็นรอบๆ สะดือ อาจเป็นพักๆ หรือตลอดเวลาก็ได้
แต่โดยทั่วไปอาการปวดไส้ติ่งมักเป็นแบบตลอดเวลา หลังจากนั้นประมาณ 6-10 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา ต่ำกว่าสะดือ ปวดตลอดเวลา อาจมีไข้ขึ้น มีเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย อาการปวดแบบมาตรฐาน (classical symptom) จะพบประมาณ 25% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออาจไม่เป็นแบบนี้ เช่น อาจไม่มีย้ายจุดปวด อาจปวดเป็นพักๆ ได้ (กรณีระยะแรก หรือเป็นชนิดที่อยู่หน้าหรือหลังลำไส้เล็ก pre-ileal or post-ileal type) แต่ประเด็นสำคัญคือปวดด้านขวาล่างๆ กดเจ็บ เดินตัวงอ มีเบื่ออาหาร มักปวดตลอดเวลา

อาการเบื่ออาหารเป็นอาการที่สำคัญมาก พบเกือบ 100% ฉะนั้น ถ้าปวดท้องแต่ไม่เบื่ออาหาร กินข้าวได้ดี โอกาสเป็นไส้ติ่งอักเสบแทบจะไม่มี ถ้าไส้ติ่งแตก ไข้จะสูงลอย 40 องศา ปวดทั่วท้องทั้งซ้ายและขวา ท้องจะแข็งเกร็งไปหมด เดินไม่ไหว ต้องนอนนิ่งๆ

การรักษา ไม่ว่าไส้ติ่งจะแตกหรือไม่ ต้องทำการผ่าตัดสถานเดียว

ปวดท้องทั่วไปจากโรคอื่นๆ โดยทั่วไป มักปวดเป็นพักๆ

ถ้า เป็นจากโรคแผลในกระเพาะ มักปวดใต้ลิ้นปี่ สัมพันธ์กับอาหาร โดยจะท้องอืด เหมือนอาหารไม่ย่อย หรือปวดจุกเสียดก็ได้ มักเป็นหลังอาหาร( คือทานอาหารแล้วแย่ลง) แต่ถ้าเป็น แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น อาจเป็นที่ใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา มักปวดจุกเสียดก่อนอาหาร พอทานอาหารแล้วจะดีขึ้น

อาการ ปวดจากถุงน้ำดี มักเป็นที่ชายโครงขวา อาจมีร้าวไป บริเวณมุมล่างของสะบักขวาหรือบริเวณระหว่างสะบัก จะมีลักษณะที่สำคัญ คือ จะมีอาการแน่นหรืออืด หลังทานอาหารมันๆ (Fat Intolerance) หรือมีปวดท้องหลังอาหารเย็นเป็นพักๆ ที่ชายโครงขวา (Biliary Colic) ปวดจากนิ่วในท่อไต อาการปวดจะเป็นพักๆ มากบริเวณเอวด้านหลังอาจร้าวมาขาหนีบ หรือบริเวณอัณฑะ ร่วมกับมีปัสสาวะเป็นเลือด หรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อ

ปวดจากปีกมดลูก หรือรังไข่ จะปวดบริเวณท้องน้อย ไม่สัมพันธ์กับอาหาร มักมีเลือดหรือตกขาวผิดปกติ ทางช่องคลอดร่วมด้วย

จะ สังเกตว่าอาการปวดท้อง ในระยะแรกไม่ว่าจะเป็นไส้ติ่ง หรือโรคอื่นๆ ก็ตาม จะแยกกันยาก ต้องใช้การสังเกตอาการ ดังนั้น ในกรณีที่เริ่มปวดท้องที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด ควรไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการกินยาแก้ปวดจะทำให้ แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด

นักวิจัยผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็วได้แล้ว


นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมิดเดิลเซกซ์ของอังกฤษ ได้คิดค้นวัคซีนชนิดฉีด ซึ่งสามารถจะฆ่ามะเร็งชนิดที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ตั้งแต่มะเร็งเต้านม ลำไส้ และคอมดลูกได้ ทดลองกับคนไข้ได้ผลทำให้มะเร็งหดเล็กลง และไม่แพร่ขยายออกไป

ศาสตราจารย์ เรย์ ไอเลส ผู้คิดค้น กล่าวว่า วัคซีนจะสามารถช่วยชีวิตคนไข้โรคมะเร็งเฉพาะในอังกฤษแห่งเดียว ปีหนึ่งๆหลายพันคน มันยัง ปราบมะเร็งตับอ่อนและรังไข่ได้ด้วย และเขาเชื่อว่าอาจจะมีออกสู่ตลาดได้อย่างเร็วภายใน 5 ปีนี้

ทีมนัก วิทยาศาสตร์คิดค้นวัคซีนขึ้นได้ จากความรู้ที่ว่ามะเร็งชนิดร้ายที่สุดบางชนิด ก็ได้ สร้างฮอร์โมนอย่างหนึ่ง ซึ่งปกติพบแต่เมื่อมีการตั้งครรภ์ขึ้นเท่านั้น วัคซีนจะออกฤทธิ์โดยการไปเร่งเครื่องของระบบภูมิคุ้มโรคให้มุ่งตรงทำลาย ฮอร์โมนนั้น

ในการทดลองกับสัตว์ในตอนแรก มันแสดงผลออกมาอย่างดีเลิศ และในการทดลองขั้นต้นกับคนไข้ โดยฉีดให้กับคนไข้ชายหญิงที่ถูกวินิจฉัยโรคว่า เป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 60 ราย ก็แสดงให้เห็นว่ามีความปลอดภัย.

เรื่อง Amazing ของมือถือที่คุณไม่รู้แต่ต้องรู้มีประโยชน์มากครับ


คุณรู้หรือไม่่ว่าโทรศัพท์มือถือไม่ได้มีไว้ใช้โทรอย่างเดียว ใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือ ตั้งใจอ่านดีๆ นะครับ โทรศัพท์ แต่ยังมีเคล็ดลับที่เพื่อนๆยังไม่รู้ซ่อนไว้อยู่ ถ้าอยากรู้ว่ามีไรอะไรบ้าง ลองมาดูกัน

1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112 แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่มก็ยังกดเบอร์ นี้ได้ ทีนี้เราก็รอดตายแล้วครับ

2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ … สำหรับรถที่ใช้ Remote Key ถ้ารถล็อคไปแล้วแต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ ( เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขา ให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรอง ในขณะที่เราถือมือถือ ให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต( คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กด ต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม)ประตูรถก็จะเปิดออก เหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง ระยะทางไม่มีปัญหาแม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม

3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด * 3370# สำหรับมือถือ Nokia ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มที จนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด * 3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรองนี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป

4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป ในกรณีนี้เราต้องใช้หมายเลข serial number ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15- 17 หน่วยการที่จะทราบหมายเลขนี้ กด * #06# แล้วหมายเลขประจำเครื่อง
ก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล จดไวแล้วเก็บไว้ให้ดี …. ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่นให้โทรไปที่ศูนย์ แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim cardมันก็จะยัง ใช้ไม่ได้อยู่ดี แบบนี้สะใจดีครับ โดยเฉพาะพวกที่ชอบโขมยมือถือลองทำตามที่บอกดูนะครับ เชื่อแน่ว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแหละ

โรคสุดร้ายสำหรับนักดื่ม คอทองแดง


สังคมไทยการดื่มเหล้าถือเป็นค่านิยทมที่ปลูกฝังมาช้านาน ซึ่งเราเองต่างก็รู้ดีว่าการดื่นเหล้าเพียงแต่ให้ความสนุกสนานชั่งครั้งชั่วคราว แต่หาประโยชน์อันใดต่อร่างกายไม่ได้เลย มิหนำซ้ำยังส่งผลเสียและอันตรายอีกมากมายให้กับผู้ที่ดื่มเข้าไป ซึ่งก็เห็นได้จากทางหน้าหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ทั้งอุบัติเหตุ ขาดสติ ทะเลาะวิวาท ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีผลกับสุขภาพอีกด้วย ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งเพิ่มอัตราการเกิดโรคร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่คือ 4 โรคร้ายที่คุณนักดื่มคอทองแดงจงระวังให้หนัก

โรคทางระบบประสาท

โรคนอนไม่หลับ กระบวนการการรับรู้ความเข้าใจบกพร่อง ขาดสติ จิตหลอน ประสาทหลอน โรคคลั่งเพ้อ เกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง การทำหน้าที่ของสมองผิดปกติส่งผลถึงการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนปลายแขน ขาอ่อนแรง ปลายประสาทพิการ นอกจากนี้ก็ยังมีโรคซึมเศร้า โรคลมชัก โรคระแวงเพราะสุราด้วย

โรคมะเร็ง

มะเร็งในปากและช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านมในผู้หญิง และมะเร็งรังไข่ ซึ่งในผู้ชายส่วนใหญ่ที่เป็นนักดื่มมักป่วยเป็นมะเร็งตับ

โรคหลอดเลือดและหัวใจ

เกิดจากปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป จะทำให้เส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบ ส่งผลให้ผู้ที่ชอบดื่มสุราเป็นประจำมีอัตราการเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนที่ดื่ม น้อยกว่า และยังทำให้เกิดความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหรือเซลล์หัวใจได้ กลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม นอกจากนี้ยังทำให้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมองส่วนนอกลีบฝ่อ อาการระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินไป โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะและโรคหัวใจล้มเหลว

โรคเรื้อรังอื่น ๆ

โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน และเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคตับอักเสบ โรคตับแข็ง ต่อมาก็โรคกระเพาะอักเสบ เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปทำลายสารเคลือบกระเพาะ โรคต่อมหมวกไต กระดูกพรุน โรคเกาต์ โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น

เทศกาลเฉลิมฉลองแบบนี้ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ ทราบข้อมูลกันแบบนี้แล้วก็ควรหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองให้มากขึ้นนะคะ ที่สำคัญก็ควร ลด ละ เลิก การเดิมสุราเสียด้วยก็จะถือเป็นการดีมากค่ะ

การดูแลสุขภาพช่วงหน้าฝน


อีกไม่กี่วันก็จะเข้าพรรษาแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเข้าสู่หน้าฝนอย่างสมบูรณ์แบบกันแล้วนะครับ เมื่อหน้าฝนมาไข้หวัดประเภทต่างๆ ก็จะกลับมาระบาด การดูแลสุขภาพในช่วง ที่อากาศเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากเจ็บป่วย ไปหวัดกระเสาะกระแสะ อย่างแรกที่ควรทำเพื่อดูแลสุขภาพตนเองให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสภาพต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศได้ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะโรคไข้หวัด เพราะหากป่วยเป็นไข้หวัดและไม่มีการดูแลสุขภาพที่ดี อาจส่งผลให้กลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบและโรคปอดบวมได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างความอบอุ่นร่างกายและควรมีการออกกำลังกายอย่างถูก วิธี

การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและใช้เวลาอย่างเหมาะสม สามารถช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายได้ อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคไข้หวัดได้ด้วย การออกกำลังกาย ควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะ การขี่จักรยาน การเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เป็นต้น ทำให้รู้สึกหายใจเร็วขึ้น สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที เป็นเวลาอย่างน้อยก็เพียงพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกันในบริเวณทางเดินหายใจ การออกกำลังกายหนักมากเกินไป กลับไม่ส่งเสริมภูมิคุ้มกันในการเริ่มต้นออกกำลังกาย ควรเริ่มจากเบาๆ ระยะเวลาน้อยๆ ก่อนแล้วค่อยเพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายปรับตัว

นอกจากการออกกำลังกายเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การรับประทานอาหาร ควรเน้นรับประทานผักหลากหลายทั้งสดและลวก ต้ม ผัด และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะกอกฝรั่ง องุ่น สัปปะรด มะละกอ เพราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอุณหภูมิความร้อนให้กับร่างกาย

แต่ถ้าหากท่านใด ถูกไขหวัดถามหาแล้ว ความเชื่อที่ว่ากินยากันไว้ก่อนไม่จริงนะครับ เพราะโลกใบนี้ยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื่อไวรัสได้ แม้กระทั้งหวัดยังไม่มียาใดๆในโลกที่สามารถฆ่าเชื่อหวัดได้ ร่ายการของเราเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะไข้หวัดได้ ฉะนั้นเมื่อท่านเป็นไข้หวัด ก็จงพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และขอแนะนำให้ไปซื้อวิตามินซีมากินเพื่อติดอาวุธให้ภูมิคุ้มกันของเราสามารถ เอาชนะหวัดได้เร็วขึ้น

กินอาหารแต่พอเพียงทำให้อายุยืน


การรับประทานอาหารให้พอประทังชีวิตอยู่ได้ จะช่วยให้ร่างกายมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น อาจจะฟังไม่ค่อยจะน่าเชื่อนัก แต่นักวิจัยที่ได้พบในการศึกษาในสัตว์ว่า การกินเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ กลับเป็นหัวใจสำคัญของการมีอายุวัฒนะ

หนังสือ พิมพ์รายวัน “เดลี่ เอกซเปรสส์” ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนพบว่า การกินอาหารในปริมาณอย่างพอเพียงจะช่วยชะลอกระบวนการความแก่ชราได้ พวกเขาคิดว่า คงเป็นเพราะเซลล์ไม่อาจจะเคลื่อนคล้อยไปตามวงจรชีวิตของตนได้ไวขึ้น หากว่าถูกจำกัดพลังงานเอาไว้ สัตว์ในการทดลองที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่ให้แคลอรีต่ำที่สุด จะมีเซลล์ที่แตกตัวออกมาอย่างแข็งแรงปริมาณมาก โดยเฉพาะปลอกหุ้มปลายด้านที่มีข้อมูลทางพันธุกรรมของมันจะไม่บุบสลายเลย หากว่าปลอกนั้นได้รับความเสียหาย เช่นเดียวกับ การเกิดของเซลล์ที่ไม่มีการแบ่งตัวมีมากขึ้น จะเป็นอาการบ่งบอกสำคัญของความแก่ชรา

เป็นที่หวังว่า ความรู้เรื่องนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในความแก่ชราของมนุษย์ และหนทางที่จะป้องกันโรคมากขึ้น

ถึง กระนั้นก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ผู้ศึกษา ก็ขอเตือนคนทั่วไปไว้ก่อนว่า อย่าเพิ่งหันไปกินอาหารแคลอรีต่ำอย่างหักโหม โดยหวังเพื่อจะให้มีอายุยืน เพราะจะต้องรอให้รู้แน่เสียก่อนว่า มันจะเป็นคุณเป็นโทษกับมนุษย์อย่างใดบ้าง.

คนที่ชอบพักมากๆ ตายเร็วกว่าคนทำงาน


คนที่ชอบพักมากๆ ตายเร็วกว่าคนทำงาน

นักวิจัยสมาคมวิจัยโรคมะเร็งอเมริกัน ได้พบในการศึกษาว่า คนเรายิ่งนั่งอยู่เฉยนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงกับความตายมากเท่านั้น

นัก วิจัยอัลพา ปาเตล ของสมาคมกล่าวแจ้งว่า การนั่งนานในเวลาว่างมากเท่าใด ยิ่งเสี่ยงกับการตายสูงเท่านั้น โดยเฉพาะผู้หญิง สตรีที่รายงานว่า ใช้เวลานั่งนานไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชม. จะเสี่ยงกับการเสียชีวิตลง ในระหว่างช่วงเวลาของการศึกษา มากกว่าผู้ที่นั่งนานไม่เกินวันละ 3 ชม. ถึงร้อยละ 37 สำหรับผู้ชาย คนที่นานมากกว่าวันละ 6 ชม. ก็จะเสี่ยงตายมากกว่าเพื่อนที่นั่งนานไม่เกินวันละ 3 ชม. ร้อยละ 18 โดยจะตายด้วยโรคหัวใจมากกว่ามะเร็ง

เขาอธิบายว่า “การนั่งนานๆ โดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จะทำให้เป็นโทษกับการเผาผลาญอาหารของร่างกาย และอาจจะมีอิทธิพลกับไตรกลีเซอไรด์ ลิโพโปรตีน คอเลสเทอรอล ความดันโลหิต และเลปติน ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องชี้วัดของความอ้วน และโรคหลอดเลือดหัวใจกับโรคเรื้อรังต่างๆ

รายงานการศึกษาได้สรุปว่า “ข้อแนะนำและคำประกาศทางสาธารณสุข ควรจะรวมคำเตือน ให้มีการลดการใช้เวลานั่งไว้ด้วย เพื่อจะได้เคลื่อนไหวอิริยาบถมากขึ้น”.

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด


กระแสความแรงของญี่ปุ่นเกาหลี เข้ามาเมืองไทยเสียทุกเรื้อง อะไรที่ประเทศเขาอิตกันเมืองเป็นได้ฮิตตามกันทุกที อย่างตอนนี้ในประเทศญี่ปุ่นกำลังฮ๊อตฮิตเรื่อง กรุ๊ปเลือดสุดๆ เพราะมันสามารถบอกได้ว่าแต่ละกรุ๊ปเลือดนั้นมีลักษณะบุคลิกและนิสัยเป็นแบบใด ไม่เว้นแม้กระทั้งเรื่องของ เงินๆ ทองๆ

ความรู้เรื่องกรุ๊ปเลือดดูผิวเผิยจะออกไปทางดูดวงเล็กด้วยแต่จริงๆแล้ว ประเทศญี่ปุ่นนั้นมี การรวบรวมสถิติเกี่ยวกับลักษณะคนประเภทต่างๆ โดยแยกแยะเป็นกรุ๊ปเลือดซึ่งจะเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่กำหนดพฤติกรรมต่างๆ ไว้ ซึ่งวันนี้เราจะมาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องการเงินในกระเป๋ากัน

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป A
คนเลือด กรุ๊ป A โดยทั่วไปแล้วจะเป็นคนที่มีคต่อยข้างระเบียบในชีวิตมากมาย มีความคิดเป็นระบบเหมือนลิ้นชัก มีความรับผิดชอบสูง และชอบคิดว่าเรื่องของคนอื่นคืองานของตนเอง ที่สำคัญติดหลงตัวเองนิดๆ พอน่ารัก ส่วนนิสัยการเงิน-กรุ๊ปเอเป็นกรุ๊ปที่เก็บ เงินได้เก่ง มีเงินเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็เอาเข้าบัญชี แต่ทว่าเมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้ก็มักจะเทออกมาหมดหน้าตักจนเกลี้ยงกระเป๋า เลยทีเดียว ที่สำคัญคนกรุ๊ปเอมักเชื่อว่าตนเองนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่บางทีทิฐิมานะควรเอาไปใช้ให้ถูกทางดีกว่า

นอก จากนั้น เวลาช้อปปิ้ง คนกรุ๊ปเอจะมีรสนิยมสูง นิยมของแบรนด์เนม แต่เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วก็มักมีแต่เสื้อผ้าที่เหมือนๆ กันไปหมด

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป B
สาว กรุ๊ป B จะมีนิสัยเป็นหัวใจศิลปิน เธอผู้นี้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทั้งปวง แม้ว่าจะตกลงไปเที่ยวกันอย่างดิบดีแล้ว เธอก็อาจจะไม่ไปเสียดื้อๆ ส่วนข้อดีของเธอคือการเป็นนักสร้างสรรค์ที่หาตัวจับยาก และพูดตรงจนใครๆ กลัวเชียวล่ะ

นิสัย การเงิน-เนื่องจากเธอคนนี้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางครั้งก็ประหยัดจนไส้กิ่วแต่บางครั้งก็ซื้อของหรูหราได้อย่างไม่เสียดาย เงิน เพราะเพียงว่าเธออยากได้แค่นั่นเอง

และบางครั้งก็ มักทำเรื่องผิดพลาดทางการเงินง่ายๆ ประเภทเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย (เป็นประจำ) ส่วนใหญ่จะเก็บเงินได้ดียามที่มีกฏข้อบังคับ เช่น ฝากประจำ เล่นแชร์ เป็นต้น

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป O
คนที่มีกรุ๊ป O จะมีเพื่อนเยอะ มีความยืดหยุ่นสูงร่วมกับความโลเลบ้างในบางครั้ง ค่อนข้างจะถนอมน้ำใจคนอื่นๆ มากกว่าที่จะว่ากล่าวไปตรงๆ แต่เมื่อระเบิดแล้วใครๆ ก็ห้ามไม่อยู่

นิสัยการเงิน-คนกรุ๊ปโอไม่โผงผางออกจะเป็นคนเรื่อยๆ มากกว่า ดังนั้น เรื่องการเงินจะค่อนข้างมีระเบียบวินัยกว่ากรุ๊ปอื่นๆ แต่มักไปเสียเงินเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น หนังสือการ์ตูน กระเป๋าย่ามใบเล็กๆ หรือแม้แต่กิ๊บติดผม ที่สำคัญคนกรุ๊ปนี้มักมีเงินแอบเก็บก้อนโตไว้เสมอ จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงินทอง

มหัศจรรย์กรุ๊ปเลือด กรุ๊ป AB
เป็น สาวที่คิดอะไรไม่เหมือนใคร ชอบเอาตนเองไปผูกพันกับความรู้สึกของคนอื่น แต่มักสร้างเกราะกำบังตัวเอง ไม่ชอบเปิดใจให้แก่ใครนัก ทำให้คุณเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย

นิสัยการเงิน-ด้วย ลักษณะนิสัยที่เป็นคนคิดเยอะ เวลาใครชวนทำประกันชีวิตหรือกองทุนต่างๆ ก็มักปฏิเสธหรือไม่ให้คำตอบ แถมความคิดมากนั้นไม่ค่อยออกมาเป็นรูปธรรมสักเท่าไร มักคิดแล้วก็หลงลืมไปปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนั้น แต่กรุ๊ปเอบีบางคนก็เป็นสุดยอดในการหมุนเงินที่หาตัวจับยากทีเดียว

10 สุดยอดสัตว์มีพิษที่อันตรายที่สุดในโลก

ในโลกนี้มีสัตว์หลายประเภททั้งที่ดูน่ารัก สวยงาม แต่ก็มีสัตว์อีกประเภทที่มีพิษร้ายแรง วันนี้ผมขอนำทุกท่านให้รู้จักกับ 10 สุดยอดสัตว์ที่มีพิษที่สุดในโลกมาให้รู้จักกันครับ เผื่อท่านใดเกิดไปเที่ยวแล้วเจอเข้าก็จะได้รู้ทันป้องกันไว้ก่อนครับ
อันดับที่ 10 Puffer Fish ปลาปักเป้า



ปลาปักเป้า คือสัตว์มีพิษที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเป้าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวกผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้า แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้าต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที

อันดับที่ 9 Poison Dart Frog กบลูกดอก



กบลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ ที่อยู่ในป่าฝนในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20,000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม (เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆได้ พิษของมันถูกนำมาใช้ ในลูกดอกอาบยาพิษของอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก

อันดับที่ 8 Inland Taipan งูไทปันโพ้นทะเล



งูไทปันถูกพบได้มากในทวีป ออสเตรเลีย เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250,000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภายใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน

อันดับที่ 7 The Brazillian Wandering Spider แมงมุมบราซิล



แมงมุมบราซิลหรือแมงมุมกล้วย ได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงที่ สุดในโลก พิษของมันมีพิษทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมากเพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ




อันดับที่ 6 Stonefish ปลาหิน



ถ้าแข่งกันในเรื่องของความสวย งามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้วละก็ เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก็ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆแล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาต แล้วก็ตายได้ในที่สุด

อันดับที่ 5 Death Stalker Scorpion แมงป่องเดธท์ สตอล์คเกอร์



แมงป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่…มันไม่ใช่สำหรับแมงป่องพันธุ์เดธท์ สตอล์คเกอร์เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบ ประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ

อันดับที่ 4 Blue-Ringed Octopus ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน



ปลาหมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาด ที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ =.= ถ้าโดน ปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่าพิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอและคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบการหายใจจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด

อันดับที่ 3 Marbled Cone Snail หอยเต้าปูนลายหินอ่อน



หอยเต้าปูนตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่!!! พิษของมันน่ะเหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆแล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลย แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบการหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน

อันดับที่ 2 งูจงอาง



งูจงอางหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญมันพบได้ทั่วไปในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย

อันดับที่ 1 Box Jellyfish แมงกระพรุนกล่อง



และแล้วแมงกระพรุนกล่องก็ได้ เป็นแชมป์สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก รายงานว่ามันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันนั้นจะช็อค และหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือด

ปลาสวรรค์หรือปลาเส้นมากอันตรายไตเสียเอาง่ายๆ


ปลาสวรรค์หรือปลาเส้นปรุงรส ขนมขบเคี้ยวยอดฮิตในหมู่เด็กๆ และสาวๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นขนมมีประโยชน์และมีโปรตีนสูงนั้น ที่จริงแล้วเต็มไปด้วย “โซเดียม” ที่สูงมากเกินความต้องการของร่ายกาย

ปลาสวรรค์หรือปลาเส้นปรุงรส เป็นอาหารว่างอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมรับประทานกันมาก โดยเฉพาะเด็กๆ และสาวๆ ที่กลัวอ้วนทั้งหลาย เพราะมีการโฆษณาโดยเน้นจุดขาย “ไขมัน ต่ำและโปรตีน สูง” แทนที่ขนมขบเคี้ยวประเภทอื่นๆ ซึ่งมีทั้งแป้ง น้ำตาลและไขมัน อย่างไรก็ตามปลาเส้นปรุงรสก็มีข้อด้อย คือการมีปริมาณ “โซเดียมสูง” จนน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะประเภทรสจัดจ้านหรือรสเข้มข้น ยิ่งมีโซเดียมสูงขึ้นไปอีก

ดังนั้น เมื่อจะบริโภคปลาเส้น เราไม่ควรประมาทควรลองพลิกดูฉลากด้านหลังซองเพื่อมองหาปริมาณโซเดียมสักนิด อย่างไรก็ตาม ฉลากของปลาเส้นบางยี่ห้อก็ไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะมีแต่วิธีรับประทานกับวิธีดัดแปลงเป็นอาหารประเภทต่างๆ เท่านั้น

เราจึงนำเราผลิตภัณฑ์ปลาเส้นปรุงรสยี่ห้อต่างๆ มาทดสอบหาปริมาณโซเดียมและปริมาณโปรตีน นอกจากนี้ ยังแถมการทดสอบ “ปลาหมึกปรุงรส” ให้ด้วย เพราะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

ปลาเส้นทำมาจากอะไรกันแน่…

ปลาเส้นทำมาจากผลิตภัณฑ์ที่เรียก “ซูริมิ” ซึ่งก็คือ “เนื้อปลาทะเลบด” ที่ผ่านกระบวนการล้างน้ำ เพื่อแยกไขมันและส่วนประกอบที่ไม่ต้องการอื่นๆ ออกไป ให้เหลือแต่ “โปรตีน” ที่เรียกว่า “ไมโครไฟบริล” ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้เนื้อปลามีคุณสมบัติในการสร้างเจล ทั้งนี้ ซูริมิถูกนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารหลายประเภท เช่น ปูอัด ลูกชิ้น ไส้กรอก ปลาเส้น เนื้อปลาเทียม หรือเนื้อกุ้งเทียม

ผลการทดสอบพบว่า…

- ปริมาณโซเดียมในปลาเส้นปรุงรสและปลาหมึกปรุงรส มีปริมาณสูงมากๆ ในทุกยี่ห้อ โดยปลาเส้น 30 กรัมจะมีโซเดียม 500-700 มิลลิกรัม โดยเฉพาะรสเข้มข้นจะมีโซเดียมสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะมีการปรุงแต่งรสด้วยผงชูรส หรือโมโนโซเดียมกลูตาเมตมากขึ้น

- มีปริมาณโปรตีนตามที่โฆษณา แต่ก็ไม่แตกต่างจากอาหารทั่วไปที่สามารถหารับประทานได้ง่ายและราคาไม่แพง เช่น นม ไข่ หรือแม้แต่ถั่วต้ม
คำ แนะนำจากเรา…

- ผลิตภัณฑ์ปลาเส้นอาจเป็นตัวเลือกสำหรับเด็กที่ติดขนมขบเคี้ยว เพราะมีปริมาณไขมันและน้ำตาลน้อยกว่า เมื่อเทียบกับขนมขบเคี้ยวทั่วไป แต่เด็กไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะมีปริมาณโซเดียมสูงมาก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เนื่องจากเด็กไม่ควรได้รับ โซเดียมจากอาหารว่างเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน การที่บริโภคโซเดียมมาก จะทำให้ไตทำงานหนักและเสี่ยงต่อโรคความดันสูง

- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไตหรือหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานแต่น้อย

- ควรซื้อครั้งละซองเล็กๆ เพราะหากซื้อซองใหญ่จะทำให้เผลอทานมากเกินไป

- ควรหาตัวเลือกอื่นๆ ถ้าต้องการแหล่งโปรตีนที่ดี เช่น นม ไข่ หรือถั่ว ที่มีราคาไม่แพงและมีปริมาณโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

วิธีลดความมันบริเวณรอบจมูก


บริเวณจมูกมักจะมันเยิ้มได้ง่ายมาก แถมยังมีสิวหัวดำขึ้นมาบ่อยๆ หมั่นทำความสะอาดผิวหน้าเป็นอย่างดีแล้วก็ยังไม่หาย ทำยังไงดีคะ?

A : มี ปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผิวบริเวณนั้นผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทั้งสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม และรอบเดือน บางครั้งการกินอาหารที่มีประโยชน์ และการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำก็ยังอาจไม่พอ คุณจำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างล้ำลึกสัปดาห์ละครั้งด้วยมาส์กที่มีขายตาม เคาน์เตอร์ทั่วไป หรืออาจลองปรุงมาส์กพอกหน้าตำรับทำเอง

ขั้นแรกผสมข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำนม เติมมันเนย 4 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งสองอย่างให้เข้ากันจนมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้นๆ นำมาพอกหน้า และลำคอทิ้งไว้ 15-20 นาที หลังจากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นแล้วบิดให้แห้งหมาด ๆตามด้วยน้ำสะอาด และตบท้ายด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยกระชับรูขุมขนค่ะ

ประโยชน์ของ L-Carnitine


เราคงจะได้ยินชื่อ L-Carnitine มานาน แต่เราก็ยังงๆ ว่า เจ้า L-Carnitine นี้มันคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรในอาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนั้น มี L-Carnitine ผสมอยู่แล้ว ซึ่งพบมากในอาหารประเภทเนื้อแดง โดยเฉพาะส่วนกล้ามเนื้อลายจะมีมากเป็นพิเศษ
L-Carnitine นั้น มีหน้าที่ในการลำเลียงโมเลกุลไขมันเล็กๆ เข้าไปในเซลล์ พร้อมกับเปลี่ยนไขมันนั้นเป็นพลังงาน ซึ่งถ้าร่างกายขาด L-Carnitine จะทำให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมันตามหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความอ้วนและความดันโลหิตสูงได้

ดังนั้น ควรบริโภคอาหารที่มีประโยชน์พอเพียงกับความร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง…

อันตรายจากเฟรนช์ฟราย


เฟรนช์ฟราย อาหารโปรดของวัยรุ่นในถึงยุคนี้ ใครๆ ก็คุ้นเคยกับคำว่า “เฟรนช์ฟราย“ หรือมันฝรั่งทอดชนิดแท่ง ที่ขายกันเกร่อตามร้านอาหารจานด่วนติดยี่ห้อฝรั่ง คงทราบกันแล้วว่ารสชาติของมันไม่มีอะไรมากไปกว่า “มัน” และ “เค็ม” ออกจะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร แต่ก็ดูจะเป็นอาหารที่ถูกใจวัยรุ่นอยู่ไม่น้อย

ไม่ใช่กล่าวหากัน อย่างเลื่อนลอย แต่มีข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างทดสอบของ โครงการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารของผู้บริโภค เก็บตัวอย่างเฟรนช์ฟราย 3 ครั้ง จำนวน 30 ตัวอย่าง ในเดือนพฤศจิกายน 2552-เมษายน 2553 ผลทดสอบรายงานใน วารสารฉลาดซื้อ เดือนสิงหาคม 2553 พบว่าในการทดสอบปริมาณ เกลือหรือโซเดียม ในเฟรนช์ฟรายขนาดใหญ่ ที่เก็บเมื่อเดือนมีนาคม พบว่ามีปริมาณเกลือในระดับสูงและจัดว่ามีความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิด อันตรายได้ หากบริโภคติดต่อกันในระยะยาว

การทดสอบ ไขมันทรานส์ ที่เป็นตัวเพิ่มระดับคอเลสเทอรอลชนิดไม่ดี (LDL : low-density lipoprotein) ในเลือด และลดระดับคอเลสเทอรอลชนิดดี (HDL : high-density lipoprotein) ในเลือดทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น พบว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยในการบริโภค

ส่วนการทดสอบค่าของกรด (Acid Value) ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพของน้ำมันที่ใช้ในการทอดอาหารนั้น โดยหากค่าของกรดต่ำหมายความว่าน้ำมันที่ใช้มีคุณภาพดี และหากค่าของกรดสูงหมายความว่าน้ำมันผ่านการใช้ซ้ำมาหลายครั้ง ผลออกมาว่ายังอยู่ในข่ายต้องเฝ้าระวัง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับรับได้ แต่ บางร้านต้องระวัง

งานทดสอบครั้งนี้ไม่ได้บอกว่าห้ามกินเฟรนช์ฟราย แต่ถ้าดูภาพรวมกล่าวได้ว่าหากมีการ กินเฟรนช์ฟรายขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไต เนื่องจากได้รับโซเดียมเกินความ ต้องการของร่างกาย ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็ง ความดันโลหิต และหลอดเลือดหัวใจอันเนื่องมาจากการบริโภคน้ำมันทอดซ้ำ

ข้อแนะนำ ควรหลีกเลี่ยงการกินเฟรนช์ฟรายขนาดใหญ่เพราะยากที่จะกินให้หมด และเมื่อเสียดายก็จะกินมากเกิน ควรเลือกกินขนาดเล็ก และไม่ควรกินติดต่อกันเป็นประจำ ถ้าเป็นไปได้ควรบอกให้ เจ้าของร้านเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารบ่อยๆ และใส่เกลือลงในเฟรนช์ฟรายให้น้อยลง ที่สำคัญอันสุดท้ายคือทำกินเองที่บ้านก็ได้ เพราะเราควบคุมทุกอย่างได้ทั้งปริมาณเกลือ คุณภาพน้ำมัน และอุณหภูมิในการทอด.

วิธีช่วยเหลือผู้จนน้ำอย่างถูกวิธี ก่อนที่คนช่วยจะตายเอง


คงจะเคยได้ยินข่าวคราวว่า มีพลเมืองดีช่วยคนตกน้ำแล้วตัวเองกลับเสียชีวิตวะเอง เรื่องการช่วยเหลือผู้ที่กำลังจมน้ำอยู่นั้น จะต้องมีวิธีช่วยเหลือที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นเหยื่อเสียเอง เรื่องนี้ประธานสมาคมผู้ช่วยชีวิตแห่งสหรัฐฯ ได้แจ้งถึงวิธีช่วยผู้ที่กำลังจะจมน้ำอย่างถูกวิธี จะต้องไม่เข้าไปถึงตัว เพราะจะถูกกอดรัดไว้ จนจมน้ำไปด้วยกัน

นายบี คริส บรูสเตอร์ ได้ยกตัวอย่างการช่วยผู้กำลังจะจมน้ำในทะเลสาบว่า แม้น้ำในทะเลสาบจะเรียบสงบ แต่ผู้ที่กำลังจะจมน้ำจะตื่นตระหนก จะคว้าจับใครก็ได้ที่เข้าไปช่วย ซึ่งจะลงเอยด้วยการจมไปด้วยกันทั้งคู่ วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยนั้น คือ การเอาสิ่งของที่ลอยน้ำไปให้

“ถ้า หากเป็นผู้ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมในการช่วยชีวิตแล้ว การช่วยคนจมน้ำนับว่าอันตรายอย่างยิ่ง แม้แต่กับผู้ว่ายน้ำแข็งแล้ว วิธีที่ดีที่สุด คือส่งสิ่งของที่ลอยน้ำได้ไปให้ ผู้ช่วยเหลือควรจะหาของลอยน้ำได้อย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวไป อย่างเช่น ตู้แช่น้ำแข็งก็ได้ สิ่งที่ควรระวัง ก็คือ อย่าเข้าไปให้ถึงตัว เพราะการถึงตัว อาจจะหมายถึงการเสียชีวิตได้”

สิ่งของที่จะนำไปให้ นั้น ไม่จำเป็นจะ ต้องเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือมาตรฐาน เป็นสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันอะไรใดๆ ก็ได้ที่ลอยน้ำได้ ล้วนแต่ใช้ในภาวะฉุกเฉินได้ทั้งสิ้น

เขากล่าวสรุปว่า “เราอยู่ในสังคมที่ ยกย่องเชิดชูผู้ที่กล้าหาญ แต่สิ่งสำคัญของผู้ที่คิดจะไปช่วยเหลือใครนั้น ก็คือต้องรู้ว่า อันตรายของการช่วยคนที่จะจมน้ำนั้น เป็นการเสี่ยงภัยอย่างน่าสยดสยอง แต่มันก็มีหนทางที่จะจำกัดอันตรายนั้นให้เหลือน้อยที่สุดได้อยู่หลายทาง”.

พลังจากวิตามิน ผิวขาวได้ไม่แพง!!


ถ้าอยากจะมีผิวสีขาวผ่องเหมือนดาราเกาหลีแล้วละก็ ไม่จำเป็นต้องมองหาครีมบำรุงราคาแพง ยี่ห้อเลิศเลอแต่อย่างใด เพราะลำพักคุณสมบัติของวิตามินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น A B C K ก็เป็นสิ่งบำรุงผิวอันทรงประสิทธิภาพ

วิตามินซีและวิตามินอีเหมาะสำหรับสาวที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ การได้รับวิตามินซีและวิตามินอีอย่างเพียงพอจะช่วยลดรอยไหม้จากแสงแดดจากการสัมผัสจากรังสี UV ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวดำคล้ำ โดยวิตามินซีเราสามาาถหาซื้อได้ง่ายจากร้านขายยาทั่วไป หรือจะหาทานจากผัดผลไม้ ต่างๆ ในบ้านเรา ปริมาณรับประทานวิตามินซี ต่อวันนั้นจะอยู่ที่ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินเอเพื่อผิวชุ่มชื่น ถ้าหากไม่มีวิตามินเอผิวก็จะแห้งเหี่ยว ไม่เต็งตึง เพระาวิตามินเอจะส่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื้อของผิว ช่วยให้เซลล์เจริญเติบโต ซึ่งวิตามินเอจะมีมากในแครอต นม ไข่ มะเขือเทศสุก ผักคะน้า แคนตาลูป

วิตามินบี เป็นรากฐานของผิวสุขภาพดี สรรพคุณของวิจามินบีนั้นจะช่วยให้ผิวกระจ่างใส เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงผิว ขน เล็บ ให้แข็งแรง ถ้ารับวิตามินบีไม่เพียงพอจะทำให้ เกิดผิวหนังอักเสพได้

คู่มือสร้างบ้านสำหรับมือใหม่


ผู้ที่สร้างบ้านบนที่ดินตนเองนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่แล้ว และกำลังต้องการที่จะเลือก แบบบ้านสักหลัง เพื่อที่จะปลูกสร้างบ้านบนที่ดินแปลงนั้น ในการเลือกแบบบ้านให้เหมาะสมกับที่ดินนั้น เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เนื่องจากการเลือกแบบบ้านที่ดีนั้น ก็จะทำให้ท่านได้บ้านที่น่าอยู่ อยู่แล้วเย็นสบาย การใช้สอยภายในบ้านสะดวกสบายมีความเป็นส่วนตัว และมีมุมมองภายใน และภายนอกที่ดี ซึ่งต่างจากการเลือกซื้อบ้านจัดสรรที่มีการสร้างไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องซื้อตามที่ผู้ประกอบการวางตำแหน่งไว้ให้ และไม่สามารถเลือกได้มากนัก

การ สร้างบ้านบนที่ดินตนเองนั้น สามารถเลือกการวางตำแหน่งบ้านและสามารถกำหนดทิศทาง ระยะของการวางบ้านได้ก่อนที่จะมีการสร้างบ้านจริง ซึ่งในขั้นต้นสถาปนิกที่ประจำอยู่ในบริษัทรับสร้างบ้าน ที่ท่านพิจารณาเลือกบ้านนั้น ก็ต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำการเลือกแบบบ้าน การวางตำแหน่งบ้านให้เหมาะกับที่ดิน ของท่านก่อน โดยท่านต้องเป็นผู้พิจารณาประกอบกับความต้องการเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สอย อาคารของท่าน เพื่อให้ท่านได้บ้านที่มีความสวยงาม มีประโยชน์ใช้สอยที่ดี และอยู่สบาย ซึ่งปัจจัยในการพิจารณาเบื้องต้น ในการเลือกแบบบ้านให้เหมาะสมกับที่ดินนั้นมีดังนี้

1. พิจารณาเรื่องลักษณะของที่ดินให้เหมาะสมกับแบบบ้าน ในกรณีที่ดินของท่านมีขนาดกว้างขวาง หรือใหญ่โต ในการเลือกแบบบ้าน คงจะไม่มีข้อจำกัดมากนัก แต่หากว่าท่านมีที่ดินขนาดจำกัด การเลือกรูปทรงแบบบ้านให้เหมาะสมกับรูปที่ดิน ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากรูปทรงที่ดินของคุณ เป็นรูปทรงแนวลึก แต่เลือกแบบบ้านแนวกว้าง ก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก หรือหากมีที่ดินแนวกว้าง แต่เลือกแบบบ้านแนวลึก ก็อาจจะไม่เหมาะสมเช่นกัน

2. พิจารณาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ดิน การพิจารณาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ดินนั้น เป็นตัวกำหนดว่าฟังก์ชั่นการใช้สอยส่วนใดควรอยู่ตรงไหน และฟังก์ชั่นการใช้สอยใดไม่ควรอยู่ตรงไหน เนื่องจากบางพื้นที่ของบ้าน เช่นห้องนอน ห้องทำงาน และห้องพักผ่อน เราต้องการความเป็นส่วนตัว และความสงบเงียบ ดังนั้นพื้นที่ดังกล่าวก็ควรอยู่ในด้านที่ไม่มีเสียงดังและ ไม่ใช่ด้านที่มีผู้คนพลุกพล่านติดถนน หรือติดกับพื้นที่ข้างเคียงที่เป็นหอพัก

3. พิจารณาเกี่ยวกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับระยะร่นของอาคาร การพิจารณาเกี่ยวกับระยะร่นของอาคาร เป็นผลต่อการเลือกแบบบ้านให้เหมาะสมกับที่ดินเช่นกัน เนื่องจากตามกฎหมายนั้น กำหนดให้ช่องเปิดหน้าต่างของบ้านทุกช่องนั้นห่างจากแนวเขตที่ตามกฎหมาย ไม่ต่ำกว่า 2.00 ม. ในกรณที่ี่เป็นบ้าน 2 ชั้น และไม่ต่ำกว่า 3.00 ม. ในกรณีที่บ้านของท่านมี 3 ชั้นขึ้นไป ซึ่งหากเลือกแบบบ้านแล้ว พิจารณาให้ดีกับหัวข้อนี้ด้วยก็จะทำให้บ้านที่ท่านสร้าง ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องปรับแก้แบบจากแบบมาตรฐานที่ท่านชอบมากนัก

4. พิจารณาเกี่ยวกับทิศทางลม และทิศทางแดด การพิจารณาเรื่องทิศทางลม ทิศทางแดด ในการวางตำแหน่งบ้านก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากว่าการเลือกบ้านและการวางตำแหน่งอาคารลงบนที่ดิน หากพิจารณาให้รอบคอบ ก็จะทำให้บ้านมีความเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าว พึ่งพาเครื่องปรับอากาศได้น้อยที่สุด และได้เปิดมุมมองสู่ภายนอกได้ดีที่สุด ประเด่นในการพิจารณาก็คือ ควรวางตัวอาคารด้านแคบไว้ตาม แกนทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพื่อรับแสงแดดในตอนสายและตอนเย็นให้น้อยที่สุด

5. พิจารณาเกี่ยวกับพฤติกรรมการอยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัว ข้อสุดท้ายในการพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้สอยของสมาชิกในครอบครัวซึ่งมี ความแตกต่างกันแล้วแต่ครอบครัว ซึ่งต้องวิเคราะห์ดูว่าความจำเป็นที่แท้จริงคืออะไรบ้าง ซึ่งหากสร้างขึ้นมาแล้วไม่ได้ใช้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ แถมต้องเป็นภาระที่ต้องดูแลภายหลังอีกด้วย

ข้อมูลดีๆ จาก: นิตยสาร สามาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน

สร้างบรรยากาศของบ้านง่ายๆจากการตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟ การตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟ


แสง ไฟ คือสิ่งสำคัญยิ่งของคนเราในการดำรงชีวิต ทั้งทดแทนพลังงานแสงจากธรรมชาติ และใช้กับกิจกรรมยามราตรี ให้เป็นไปอย่างสะดวกปลอดภัย หรือใช้สำหรับการตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟเพื่อสร้างบรรยากาศในบ้านก็ได้ นอกเหนือจากการใช้สอยทั่วไปแล้ว แสงไฟยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของการตกแต่งบ้านอีกด้วย รูปแบบของแสงไฟแต่ละชนิดจะช่วยเพิ่มพูนเสน่ห์ให้กับบ้าน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟทำให้บ้านมีอารมณ์และบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป สามารถดึงความโดดเด่นของสถาปัตยกรรม ความสวยงามหรือการแต่งรู้ให้เด่นขึ้น การตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในการตกแต่งบ้านเช่นกัน

ลักษณะของแสงไฟในการตกแต่งบ้าน

โดยพื้นฐานแล้ว แวงไฟจะมีองค์ประกอบด้วยกันสองอย่าง คือ ที่มาของแสงซึ่งแน่นอนว่าในที่นี้คงไม่พ้นหลอดไปจากโคมหรือโป๊ะไฟ ในการตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟคุณไม่ควรที่จะนึกถึงแต่รูปร่างของมัน แต่การตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟนั้นจะมองกันที่คุณภาพและลักษณะการกระจายของแสง ซึ่งก็สามารถแบ่งได้ออกเป็นอีก 3ชนิดคือ

-แสงที่ส่องออกมารอบจุดกำเนิด-แสงที่ส่องออกมาแบบด้านเดียว ข้างเดียว-แสงที่เป็นลำแสง

และที่สำคัญยิ่งคือการเลือกใช้งานแสงให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละส่วนด้วย เราจึงแบ่งหลักการตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟได้สามประเภทคือ

1.แสงพื้นฐาน (Background Lighting) แสง ชนิดนี้คือแสงที่เป็นตัวแทนของแสงตามธรรมชาติ โดยทั่วมักใช้ติดตามเพดานหรือโคมไฟห้อยเพดาน หรือไฟที่ฉายแสงขึ้นข้างบน ซึ่งไฟลักษณะนี้จะทำให้ดูไม่น่าเบื่อและมีความดึงดูด

2.แสงไฟสำหรับการทำงาน (Task Light)ใน พื้นที่ที่มีการทำงานเฉพาะอย่างเกิดขึ้นเช่นห้องครัว ห้องทำงาน เราต้องใช้แสงไฟแบบพิเศษ ซึ่งควรจะติดตั้งในต่ำแหนงที่ไม่ทำให้เงาตกกระทบลงบนชิ้นงานที่กระทำอยู่ แสงที่เหมาะสมแก่การตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟในลักษณะนี้คือ แสงจากดาวน์ไลท์ โคมไฟตั้งโต๊ะที่ปรับมุมได้ และยังสามารถนำไปใช้กับพื้นที่ ที่เป็นจุดบอดและอันตรายเช่นทางเดินนอกบ้าน หรือบันได ได้อีกด้วย

3.แสงไฟสำหรับเน้นส่วนสำคัญ (Accent Light)สำหรับ การตกแต่งบ้านด้วยแสงไฟชนิดนี้ จะเป็นการเน้นของตกแต่งที่เราวางเอาไว้ ส่วนมากมักใช้สปอตไลท์ เพราะมันสามารถปรับองศามุมส่งสว่างได้ และยังใช้เป็นไฟส่องรูปศิลป์ได้อีกด้วย

Idea ดีๆ นำไปใช้ชีวิตประจำวันได้นะ


1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า ‘คิดถึงเหมือนกัน’ แทนชื่อแฟนของคุณ

2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของแฟนโดย SaveName ว่า ‘คิดถึงนะ’ แทนชื่อของคุณ

3. เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 – 2 ตู๊ดแล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call
เมื่อListดูก็จะพบข้อความว่า ‘คิดถึงนะ’

4. เช่นเดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call
เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า ‘คิดถึงเหมือนกัน ‘

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท เก็บเงินไว้พาแฟนไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีกว่า

นั่นมันสำหรับแฟนกัน ถ้าแต่งแล้วต้องตามนี้เลย

1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของเมีย ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า ‘..!..อยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน’ แทนชื่อเมีย

2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของเมียโดย SaveName ว่า ‘กูติดประชุม(โว้ย)’ แทนชื่อของคุณ

3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโทรหาคุณ คุณไม่ได้รับเพราะ….ก็จะ Show Miss Call เมื่อListดูก็จะพบข้อความว่า ‘..!..อยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน’
4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ ๑ ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อList ดู คุณก็จะพบข้อความว่า ‘กูติดประชุม(โว้ย)’

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน

No tags for this post.

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

สื่อกระทิงปูดชไวน์นี่อ้อนพี่เสือปล่อยไปชุดขาว


แท็บลอยด์แดนกระทิงเล่นข่าว บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ จอมทัพ "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน แจ้งต้นสังกัด บาเยิร์น ประสงค์ย้ายไปร่วมทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ กองกลางจอมทัพทีมชาติเยอรมัน แจ้งต่อต้นสังกัด บาเยิร์น มิวนิค ขอให้พิจารณาข้อเสนอของ เรอัล มาดริด หากทาง "ราชันชุดขาว" ติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อตนเองไปร่วมทีม ตามรายงานจาก "อาส" หนังสือพิมพ์ดังในสเปน

รายงานข่าวระบุว่า ดาวเตะวัย 25 ปี ได้รับคำแนะนำจากเอเยนต์ โรเบิร์ต ชไนเดอร์ ว่าให้แจ้งทีม "เสือใต้" ได้ทราบถึงความต้องการในครั้งนี้ แม้จะยังไม่มีการยื่นข้อเสนอใดๆ อย่างเป็นทางการก็ตาม

"ชไวนี่" ยังมีสัญญากับ บาเยิร์น จนถึงปี 2012 และเงื่อนไขการฉีกสัญญานี้ก็ระบุไว้ที่ 55 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เรอัล มาดริด ขึ้นชื่อกองกลางจอมห้าวเป็นเป้าหมายอันดับแรกๆ และกะจะคว้าตัวให้ได้ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลนี้เลย

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ก็สนใจจะได้ตัว ชไวน์สไตเกอร์ ไปร่วมทีมด้วยเช่นกัน โดยกุนซือ คาร์โล อันเชล็อตติ มองว่า "ชไวนี่" จะเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยมของ มิชาเอล บัลลัค ที่ย้ายกลับไปเล่นให้ เลเวอร์คูเซ่น แล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหว ฟุตบอลโลก 2010 ผลบอลโลก ได้ที่ กระปุกฟุตบอลโลก และติดตาม สรุป ผลบอล และ ผลบอลสด ทุกรายการได้ที่ กระปุกฟุตบอล

ภาพข่าวจาก http://news.yahoo.com

ฟ้า-ขาวปลดเดอะเตี้ยพ้นเก้าอี้กุนซือแล้ว


สมาคมลูกหนังอาร์เจนตินา ประกาศปลด "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า พ้นตำแหน่งกุนซือทีมชาติ หลังไม่สามารถตกลงเงื่อนไขในการร่วมงานกันต่อไปได้

ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานดาวเตะโลกขวัญใจมหาชน ถูกปลดพ้นตำแหน่งเทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนตินาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากไม่สามารถตกลงเงื่อนไขกับสมาคมลูกหนัง "ฟ้า-ขาว" ได้ลงตัว

ก่อนหน้านี้ มาราโดน่า วัย 49 ปี ได้รับข้อเสนอจากสมาคมฟุตบอลอาร์เจนตินา (เอเอฟเอ) ให้ทำหน้าที่ต่อไปจนถึงฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แต่ "เสือเตี้ย" ตั้งเงื่อนไขขอเก็บทีมงานชุดเดิมไว้ให้ครบทุกคน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ ฮูลิโอ กรอนโดน่า ประธาน เอเอฟเอ ไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจากบอสใหญ่ลูกหนัง "ฟ้า-ขาว" ต้องการเปลี่ยนตัวสต๊าฟโค้ชบางราย โดยเฉพาะ อเลฮานโดร มันคูโซ่ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ มาราโดน่า

มีคำแถลงของโฆษก เอเอฟเอ ระบุว่า "ข้อเรียกร้องของ มาราโดน่า ค่อนข้างห่างไกลจากความเป็นไปได้ เราเชื่อว่าในเกมอุ่นเครื่องกับสเปนวันที่ 7 ก.ย. นี้ เราจะได้โค้ชคนใหม่แล้ว"

สำหรับตัวเต็งที่จะเข้ารับสืบทอดตำแหน่งต่อในตอนนี้ก็คือ อเลฮานโดร ซาเบลล่า เทรนเนอร์มือดีที่พา เอสตูเดียนเตส คว้าแชมป์ โกปา ลิเบร์ตาดอเรส เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหว ฟุตบอลโลก 2010 ผลบอลโลก ได้ที่ กระปุกฟุตบอลโลก และติดตาม สรุป ผลบอล และ ผลบอลสด ทุกรายการได้ที่ กระปุกฟุตบอล

ภาพข่าวจาก http://news.yahoo.com

อเนลก้าจบเห่!โดนแบนเกมทีมชาติ18นัด


อเนลก้าจบเห่!โดนแบนเกมทีมชาติ18นัด

นิโก้ อเนลก้า ดาวยิง เชลซี หมดอนาคตกับทีมชาติ หลังโดนลงโทษห้ามเล่นให้ "ตราไก่" ฝรั่งเศสถึง 18 นัด จากเหตุอื้อฉาวระหว่างช่วงบอลโลก 2010

ในระหว่างศึก เวิลด์ คัพ 2010 อเนลก้า มีปัญหาขัดแย้งกับเทรนเนอร์ เรย์มงด์ โดเมอเน็ค โดยมีรายงานว่าดาวเตะ เชลซี โต้เถียงกับกุนซือด้วยถ้อยคำหยาบคายในระหว่างพักครึ่งเวลาเกมที่ ฝรั่งเศส แพ้ต่อ เม็กซิโก 0-2 และต่อมาดาวยิงจากค่าย "สิงห์บลูส์" ก็ถูกส่งตัวกลับบ้านกลางคัน

หลังจากนั้นสมาชิกทีมชาติรายอื่นๆ ก็ทำการประท้วงด้วยการปฏิเสธที่จะลงซ้อม ซึ่งในที่สุดทีมชาติฝรั่งเศสก็มีอันต้องล้มเหลว ร่วงตกรอบแรกโดยไม่ชนะใครเลย

ผลการลงโทษนี้จะทำให้ อเนลก้า พลาดการลงเล่นในเกม ยูโร 2012 รอบคัดเลือก ทั้งหมดของทีมชาติฝรั่งเศส และนอกจาก "นิโก้" แล้ว ปาทริซ เอวร่า ในฐานะกัปตันทีมชุดฟุตบอลโลกก็โดนลงโทษแบนถึง 5 เกม ขณะที่ ฟร้องค์ ริเบรี่ กับ เฌเรมี่ ตูลาล็อง โดนแบนไปคนละ 3 และ 1 เกมตามลำดับ

"เราต้องการให้การลงโทษ อเนลก้า เป็นบรรทัดฐานต่อไป" ฌ็อง มาซเซลล่า ประธานคณะกรรมาธิการวินัยของสหพันธ์ลูกหนังแดนน้ำหอมกล่าว

ด้าน ฌ็อง-หลุยส์ วาล็องแต็ง อดีตผู้อำนวยการทีมชาติฝรั่งเศสซึ่งได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนี้ ได้กล่าวว่า "ในฐานะแฟนตัวยงของทีมชาติฝรั่งเศส ผมคิดว่าทุกๆ คนควรมีโอกาสแก้ตัวนะ บรรดาผู้เล่นดูเหมือนจะรู้สึกสำนึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว"

ติดตามสรุป ผลบอล และ ผลบอลสด ทุกรายการได้ที่ กระปุกฟุตบอล

ภาพข่าวจาก http://news.yahoo.com

วิตามินซี พบในอาหารชนิดใด และดีต่อร่างกายเราอย่างไร

วิตามินซี เป็นวิตามินที่เชื่อว่าเพื่อนๆคงรู้จักกันดี และรู้จักกันตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กๆคุณพ่อคุณแม่ คงเอาเจ้าวิตามินซีเม็ดส้มๆ ให้กินแล้วก็ชอบจนติดใจจำได้
วิตามินซีพมมากในอาหารต่างๆเหล่านี้
ฝรั่ง มะขามป้อม ส้ม มะนาว มะเขือเทศ พริกหยวก สะเดา
หน้าที่ของวิตามินซี

ช่วยให้เสริมสร้างความยืดหยุ่นในผนังหลอดเลือด
สร้างเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย
เกี่ยวข้องกับกระบวนการ เมทาบอลิซึม(กระบวนการทางเคมีในร่างกายเรา)
ช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก ที่ลำไส้เล็ก

อาการขาดวิตามินซี

ฟันผุ ไม่แข็งแรง
เหงือกบวม อักเสบ
กระดูกในร่างกายเปราะ
ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง
แผลหายช้ากว่าที่ควร

หวังว่าคงเป็นความรู้รอบตัวที่มีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลุ่มเอ็นจีโอล้มเวทีฯค้านแผนแม่บทภูมิอากาศ


กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจาก 14 จังหวัดภาคใต้ และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 16 เครือข่าย ประมาณ 200 คน คัดค้านแผนแม่บทฯ พัฒนาภาคใต้ หวั่นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และหนุนใช้พลังนิวเคลียร์…

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมไดมอนด์พลาซ่า อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี นายจิรวัชร์ สิงห์ดี รองู้ว่าราชการ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานเปิดเวทีประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทรองรับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ พ.ศ.2553-2562 จัดโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อชี้แจงข้อมูลการดำเนินการด้านวิชาการ งานวิจัยและพัฒนา ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งท่าทีและจุดยืนของประเทศไทย ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทดังกล่าวจากทุกภาคส่วนทั้ง หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชนในพื้นที่ภาคใต้

ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมได้มีกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจาก 14 จังหวัดภาคใต้ และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 16 เครือข่าย ประมาณ 200 คน อาทิ เครือข่ายพันธมิตรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์ เครือข่ายอนุรักษ์อ่าวบ้านดอน เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อก๊าซจะนะ จ.สงขลา กลุ่มศึกษาการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น ได้นำรถบรรทุก 6 ล้อติดตั้งเครื่องขยายเสียง เปิดเวทีแสดงความคิดเห็นคัดค้านแผนแม่บทฯเป็นเวทีคู่ขนานภาคประชาชนขึ้นที่ บริเวณลานด้านหน้าโรงแรมน โดยเฉพาะแผนพัฒนาภาคใต้หรือเซาธ์เทิร์นซีบอร์ดที่เกี่ยวกับการจัดตั้งนิคม อุตสาหกรรม ที่จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งการส่งเสริมใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน

น.ส.กรอุมา น้อยคง แกนนำกลุ่มอนุรักษ์บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า การร่างแผนแม่บทไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง เพราะภาคประชาชนไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งจะปล่อยให้แผนแม่บทออกไปเช่นนี้ไม่ได้ เนื่องจากแผนพัฒนาภาคใต้ล้วนเป็นการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมเหล็ก ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าถ่านหิน พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งจะเป็นตัวการสำคัญทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอาชีพประมงและเกษตรของชาวภาคใต้

ด้าน น.ส.อาระยา นันทโพธิเดช รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกมาชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ด้านหน้าโรงแรม ว่า การรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่ง ชาติ พ.ศ.2553-2562 เป็นการมารับฟังความคิดเห็นจากประชาชนไม่ใช่การมาชี้แจงแผน เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ตามที่ประชาชนคิด ซึ่งจะต้องให้โอกาสกับเจ้าหน้าที่ในการชี้แจงด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า ต่อมาเวลา 11.00 น. ระหว่างที่นายวุฒิ หวังวัชรกุล วิทยากรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำลังบรรยายเกี่ยวภาวะโลกร้อนบนเวทีการประชุม ได้มีตัวแทนผู้ชุมนุมประมาณ 10 คน ลุกขึ้นกล่าวโจมตีการร่างแผนแม่บทฯของทางราชการ โดยระบุไม่ได้มาจากประชาชนและขอให้ผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นในห้องประชุมเลิกการประชุม จนทำให้เกิดความวุ่นวายและเจ้าหน้าที่ต้องปิดไฟภายในห้องประชุมจนมีการและยก เลิกเวทีประชุมในที่สุด อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดยังคงปักหลักอยู่ที่ด้านหน้าโรงแรมจนเห็น ว่าการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของ ส.ผ.เลิกแน่แล้ว และไม่มีการจัดเวทีรับความคิดเห็นเพ่อนำไปเป็นข้ออ้างในการ เสนอแผนแม่บทฯ จึงได้แยกย้ายเดินทางกลับ

ข้อผิดพลาด10ประการทำวิกฤติตัวประกันปินส์เหลว


นัก วิเคราะห์ด้านการรักษาความปลอดภัย ผู้เคยทำงานให้กับกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายของสหราชอาณาจักร รวมไปถึง กรมตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด ระบุ การที่ตำรวจฟิลิปปินส์บุกล้อมรถบัสนักท่องเที่ยวเพื่อช่วยตัว ประกันในกรุงมะนิลาวันก่อนแสดงถึงความกล้าหาญยอดเยี่ยม แต่การขาดการฝึกซ้อมที่ดี…

“ชาร์ลส์ ชูบริดจ์” นักวิเคราะห์ด้านการรักษาความปลอดภัย ผู้เคยทำงานให้กับกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายของสหราชอาณาจักร รวมไปถึง กรมตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด ระบุ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฟิลิปปินส์บุกล้อมรถบัสนักท่องเที่ยวเพื่อช่วยตัว ประกันในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์เมื่อ วันก่อนนั้นแสดงถึงความกล้าหาญได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การขาดการฝึกซ้อมที่ดี Read the rest of this entry »

วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ลูกทุกคนควรอ่าน‏


ตึกเซนต์หลุยมารี แผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539

เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้

เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…

วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก

ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่งมีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …

มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…

ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วยกำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันทีท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …

ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …

คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …

แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ

มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า

มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”

มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ

มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ

ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด

หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….

“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”


แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝนต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำคนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวันก็ยังโง่เท่าเดิม

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ…

โดยท่าน ว. วชิรเมธี

คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว


คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่

เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ? เด็กบอกอย่างสุภาพ

อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมา ทีละตัว เขานับ…แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น ไหนว่ามีเจ็ดต ัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ? เด็กชายถาม

เจ้าของร้านตอบว่า อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี
มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้

สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน

ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ เห็นได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก

เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ? ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ เจ้าของร้านตอบ

เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น

ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้ เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย

เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?

ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริง อาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม?

เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า คุณอาดูอะไรนี่สิครับ

ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น

เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้

คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ?

เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา

เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ ในราคาสองพันบาท เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอโทษขอโพย ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป

เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง ที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก

………………..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

ที่มา : นิทานสีขาว
เล่าโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มสาวออฟฟิศ ระวังหมอนรองกระดูกเสื่อมเร็ว


หากคิดว่า หมอนรองกระดูกเสื่อมเป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุเท่านั้น แสดงว่าคุณกำลังประมาทกับสุขภาพเกินไป เพราะความเสื่อมของหมอนรองกระดูกมีโอกาสมาเยือนได้เร็วก่อนวัย และก็เป็นไปได้มากเสียด้วย โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมถึงคนที่ชอบกิจกรรมประเภทกีฬาโลดโผนสุดโต่งทั้งหลายก็มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน
ปัญหาที่พบบ่อยจากหมอนรองกระดูกเสื่อม คือโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าอาการปวดที่เป็นอยู่คือสัญญาณของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แต่ก่อนจะลงรายละเอียดถึงโรค ก็ต้องทำความรู้จักหมอนรองกระดูกเสียก่อน

นพ.พรเอนก ตาดทอง ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ กล่าวว่า กระดูกสันหลังของเราประกอบด้วยกระดูกหลายๆ ชิ้นมาต่อกัน ระหว่างกระดูกเหล่านี้จะมีอวัยวะชนิดหนึ่งคั่นอยู่เราเรียกว่า "หมอนรองกระดูก" เพราะฉะนั้นกระดูกสันหลังมีกี่อัน หมอนรองกระดูกก็มีใกล้เคียงกัน

"หมอนรองกระดูก" มีชื่อตามตำราว่า Intervertebral disc ถ้าจะจำเพาะลงไปตามตำแหน่งก็เป็นว่า หมอนรองกระดูกคอ เรียกว่า Cervical disc และหมอนรองกระดูกที่เอวเรียกว่า Lumbar disc หมอนรองกระดูกไม่ได้เป็นกระดูก แต่จะประกอบด้วยส่วนใหญ่ๆ 2 ส่วนคือ วงรอบนอกจะเป็นเอ็นแข็งๆ เรียกว่า Anular ligament และใจกลางจะเป็นเหมือนเจลใสๆ เรียกว่า Nucleus pulposus ทั้งหมดมีหน้าที่รับแรกกระแทกและทำให้เราเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังได้ดีขึ้น

เริ่มจากรูปจะเห็นว่า ด้านหลังของหมอนรองกระดูกจะเป็นที่อยู่ของไขสันหลัง และด้านหลังออกมาด้านข้างเล็กน้อยก็จะเป็นทางออกของเส้นประสาทที่จะมาเลี้ยงแขน (ถ้าเป็นตำแหน่งของคอ) และเลี้ยงขา (ถ้าเป็นตำแหน่งของเอว) โดยภาวะปกติกระดูกหลังมักไม่ยื่นไปกดไขสันหลังหรือเส้นประสาทยกเว้นกรณีอุบัติเหตุที่กระดูกสันหลังหัก หรือในภาวะที่กระดูกสันหลังเสื่อมมากๆ จนผิดรูปไปกดเอาไขสันหลังหรือเส้นประสาทได้

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้อย่างไร
จากภาพจะเห็นได้ว่า หมอนรองกระดูกสันหลังกับเส้นประสาทอยู่ไม่ห่างกันเลย เมื่อไรก็ตามที่หมอนรองกระดูกยื่นออกมาทางด้านหลังเยื้องไปด้านข้างสักนิด ก็จะไปกดทับเส้นประสาทได้ ยิ่งถ้ามีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง จะยิ่งทำให้หมอนรองกระดูกยื่นออกมามากขึ้น

สาเหตุที่ทำให้แกนภายในของหมอนรองกระดูกยื่นออกมาทับเส้นประสาทเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การที่ร่างกายมีขอบของหมอนรองกระดูกไม่เท่ากันมาแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ เช่น การล้มก้นกระแทกพื้น หรือการที่เราอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมากจนเกิดการอักเสบ มีการหดเกร็งจนแรงไปกระทำให้หมอนรองกระดูกยื่นออกมามากจนกดทับเส้นประสาท

อาการของโรค
อาการปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เป็นอาการเด่นของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ปวดมากหรือปวดน้อยขึ้นอยู่กับว่าเส้นประสาทถูกกดมากหรือน้อยเป็นสำคัญ ถ้าทิ้งไว้นานเส้นประสาทจะทำงานได้น้อยลง อาการชาและอ่อนแรงของขาซีกนั้นจะเริ่มเด่นชัดขั้น อาการทั้งหมดจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น คนที่เป็นจะคุ้นเคยกับอาการและบอกรายละเอียดของอาการได้เป็นอย่างดี

มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกดทับเส้นประสาท โดยจะมีการแบ่งลักษณะของหมอนรองกระดูกออกเป็นระยะๆ ทั้งนี้เนื่องจากการรักษาในแต่ละระยะแตกต่างกัน
1. ระยะ Protusion ผนังของหมอนรองกระดูกจะยังไม่เสียความยืดหยุ่นไปมากนัก การรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด ตลอดจนการรู้จักวิธีเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังเพื่อป้องกันไม่ให้มีการอักเสบ จะสามารถช่วยให้อาการของโรคไม่กำเริบและหายได้ในที่สุด
2. ระยะ Prolapse ในระยะนี้ผนังของหมอนรองกระดูกเริ่มเสียความยืดหยุ่นไปแล้วแต่ยังไม่ถึงกับแตกจนส่วนแกนในไหลออกมา การรักษาโดยการผ่าตัดน่าจะได้ผลดีที่สุด
3. ระยะ Extrusion ผ่าตัดแน่นอนครับ
4. ระยะ Sequestration ระยะนี้ก็ต้องผ่าตัดเหมือนกันครับ
จะเห็นได้ว่า ทั้งสี่ระยะโอกาสที่จะไม่ต้องผ่าตัดมีเพียงระยะแรกเท่านั้น การผ่าตัดกระดูกสันหลังเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่พึงปรารถนา แม้ว่าปัจจุบันอันตรายจะน้อยลงกว่าสมัยก่อนมากก็ตาม

ปัจจุบันมีวิธีรักษาแบบใหม่โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่ เรียกว่า Nucleoplasty หรือ การจี้ด้วยคลื่นความร้อน เทคนิคในการทำ Nucleoplasty คือจะใช้การฉีดยาเฉพาะที่บริเวณที่จะใช้เข็มเจาะ โดยมีเครื่องเอ็กซเรย์ช่วยในการมองภาพหมอนรองกระดูกสันหลัง เข็มที่เจาะลงไปจะมีแกนในซึ่งเป็นหัวจี้ ปล่อยคลื่นความร้อนออกมาจี้ที่หมอนรองกระดูกสันหลัง มีผลให้ความดันในหมอนรองกระดูกลดลง ทำให้เกิดการดึงหมอนรองกระดูกที่ยื่นอยู่ให้กลับเข้ามา เส้นประสาทที่กระดูกกดทับอยู่ก็ฟื้นสภาพได้ ผลข้างเคียง อาจมีอาการระบมจากการเจาะเข็มบ้างเล็กน้อย วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดร้าวลงขาเป็นๆ หายๆ และไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัด

ประโยชน์จากการรักษาด้วยวิธี Nucleoplasty
แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็วไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หลังผ่าตัดอาจต้องพัก 1-2 ชั่วโมง และสามารถกลับบ้านได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ การใช้วิธีนี้ยังสามารถลดการอักเสบภายในหมอนรองกระดูกได้ด้วย มีผลให้อาการปวดหลังและปวดขาลดลง

การป้องกันไม่ให้โรคเลื่อนจากระยะแรก นับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทำได้ดังนี้

* พบแพทย์ทันทีที่มีอาการปวดหลังแล้วร้าวลงขา
* ให้ความสำคัญกับการปวดหลังทุกครั้ง อย่าลืมว่าคนปกติไม่ปวดหลังนะครับ หาสาเหตุทุกครั้งที่มีอาการปวดหลัง หาเองไม่พบก็ไปพบแพทย์
* พึงระลึกไว้เสมอว่า การทานยารักษาอาการปวดหลังเป็นการรักษาปลายเหตุ การรักษาคือต้องแก้ที่สาเหตุ และสาเหตุของอาการปวดหลังที่พบบ่อยที่สุดคือ การอยู่ในท่าต่างๆ ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
* Warm ร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ทำ Stretching Exercise ของกล้ามเนื้อหลังทุกครั้งก่อนออกรอบ
* การนวดจะดีสำหรับอาการเมื่อยและไม่ดีสำหรับอาการปวด ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่เป็นอาการปวด หรือเมื่อย ก็ไม่ควรไปนวด เพราะจะทำให้อาการแย่ลงในกรณีที่ไปเจอหมอนวดประเภทมือใหม่ไฟแรง…

ข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี

อาบน้ำต้านหวัด


ช่วงนี้ไข้หวัดกำลังระบาดหนัก หากรู้สึกว่าเริ่มจะเป็นหวัดควรหาทางป้องกันโดยด่วนเลยค่ะ วิธีหนึ่งที่เลดี้ทิปขอนำเสนอคือวิธีการอาบน้ำ ซึ่งจะช่วยหยุดโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ
ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นมะกรูด กลิ่นทีทรี อย่างละ 2 หยด ผสมลงในน้ำมันสวีทอัลมอนด์ หรือโจโจบา หรืออาโวคาโด 4 ช้อนชา หรือใช้นมสดไม่พร่องไขมัน 4 ช้อนชาก็ได้ นำทั้งหมดเทลงในน้ำร้อนในอ่างอาบน้ำ น้ำร้อนจะช่วยระเหยเอาน้ำมันหอมระเหยออกมา แช่ในน้ำอุ่น 20 นาที เท่านี้คุณก็จะอาการทุเลาจากหวัดได้ค่ะ
มีข้อความระวังสำหรับคนที่ตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ค่ะ และหากผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้กลิ่นมะกรูดค่ะ สามารถทดสอบอาการแพ้ก่อนโดยทาน้ำมันที่ข้อมือก่อนที่จะผสมลงในอ่างอาบน้ำค่ะ

9 สมุนไพรเพื่อผู้หญิง


เพราะผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ความสวยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสวยเฉพาะภายนอกนะคะ ต้องสวยทั้งภายในและภายนอกนี่สิ ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบจริง
เพราะผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย ไม่มีต่อมลูกหมากให้อักเสบ ไม่ต้องทรมานใจจากศีรษะล้าน แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะไมมีปัญหาอะไรเลย อย่างเรื่องของวัยทองยังไงล่ะคะ ทั้งอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ฯลฯ แต่โชคดีที่อย่างน้อยเราสามารถเยียวยาอาการดังกล่าวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งสมุนไพร 9 ชนิดนี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

1. Black Cohosh - สำหรับผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืน

จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนของหญิงวัยทองได้ดี เชื่อกันว่าการออกฤทธิ์ของสารใน Black Cohosh คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย

2. Chaste Tree Berry - สำหรับอาการปวดประจำเดือน

ผู้หญิงที่ได้เข้าร่วมทดลองกิน Chaste Tree Berry กว่า 52% ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาการระคายเคือง หงุดหงิดง่าย และปวดศีรษะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้กิน Chaste Tree Berry นอกจากนี้ สมุนไพรดังกล่าวยังช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย

3. Cranberry - สำหรับการป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

หลายคนคงคุ้นชื่อสมุนไพรชนิดนี้เป็นอย่างดี แครนเบอร์รี่มีผลยับยั้งการยึดเกาะของเชื้อโรคกับผนังทางเดินปัสสาวะและ กระเพาะปัสสาวะ จึงป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในทางเดินอาหารไม่ควรรับประทานนะคะ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

4. Dong Quai - สำหรับสุขภาพโดยรวม

อีกหนึ่งสมุนไพรที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นโสมสำหรับผู้หญิง เพราะตังกุยช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีรอบเดือนเป็นปกติ และคลายกังวลได้ดี เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ

ชาวจีนโบราณนิยมใช้ตังกุยในการเพิ่มธาตุหยินให้ร่างกายอีกด้วย

5. Flaxseed - สำหรับสุขภาพของหัวใจ

Flaxseed อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นชนิด omega3 ที่ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้

6. Feverfew - สำหรับการปวดศีรษะ

Feverfew สามารถ ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการปวดศีรษะ ลดความถี่ของการปวดศีรษะ และลดอาการอักเสบที่เกี่ยวกับการหดตัวของหลอดเลือดได้ แต่คุณผู้หญิงที่กำลังตังครรภ์และผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ ควรกิน Feverfew นะคะ

7.Turmeric – ป้องกันการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

ขมิ้นมีสาระสำคัญคือ Curcuminoids ซึ่ง เป็นสารต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ขมิ้นกำลังเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จในการเป็นยารักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถป้องกันการแบ่งตัวของมะเร็งได้

8.Green Tea - ต้านมะเร็ง

จากวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ เพราะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) จะ ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทั้งยังจะไปจับกับโปรตีนบางชนิดในเซลล์ปกติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนเป็นเซลล์ มะเร็ง

9.Ginger - ระงับอาการคลื่นไส้

สำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้ระหว่าง ตั้งครรภ์ ขิงเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เป็น อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระงับอาการคลื่นไส้เนื่องจากเมารถ หรือจากการได้รับยาต้านมะเร็งได้อีกด้วย

นิตยสารเปรียว

ขัดผิว ขจัดผิวเก่าเผยผิวใหม่ ใสกิ๊ก


วันนี้เลดี้ทิปมีสูตรผิวสวยใสมาฝากกันอีกแล้วค่ะ เป็นสูตรง่ายๆ ที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านเราเองค่ะ ลองดูกันนะคะ ใครได้ผลยังไงมาบอกกันมั่งนะคะ
สูตรที่ 1 ผสมเกลือเล็กน้อยลงในโยเกิร์ตธรรมชาติ ขัดผิวให้ทั่ว แล้วล้างออก เกลือจะช่วยขจัดเซลผิวที่ตายแล้วออกไป โยเกิร์ตก็จะช่วยให้ผิวใหม่นุ่มนวลสวยใสค่ะ

สูตรที่ 2 ผสมเกลือกับเบบี้ออยล์ ใช้ขัดตัว เซลผิวเก่าจะหลุดออกไปและให้ความชุ่มชื่นกับผิวค่ะ

ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ


น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะบำรุงร่างกายไปจนถึงรักาาโรคต่างๆ มากมาย แต่ใครจะรู้ถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งได้อย่างเต็มที่ วันนี้เลดี้ทิปได้นำวิธีการดื่มน้ำผึ้งเพื่อประโยชน์ต่างๆ มาให้อ่านกันค่ะ แล้วลองนำไปใช้ดูนะคะ ได้ผลยังไง มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ
1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5 . ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร
7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว
10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่เย็นแล้วล้าง ให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผล ไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็น ประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็น ประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด( 10-20 % ) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย

ออกกำลังบรรเทาอาการปวดเข่า


หัวเข่าเป็นอวัยวะที่กระดูก 2 ชิ้นมาต่อกัน โดยมีเพียงหมอนรองกระดูกกั้นตรงกลางเท่านั้น จึงไม่มีความมั่นคงและง่ายต่อการบาดเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อสูงอายุ หัวเข่าย่อมมีการเสื่อมลงเป็นธรรมดา แต่คนในวัยรุ่นหรือวัยกลางคนที่เจ็บหัวเข่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นเข่าเสื่อม แต่อาจเกิดจากอวัยวะรอบๆ เข่าบาดเจ็บเช่น กล้ามเนื้อ เอ็นรอบข้อเข่า หรือหมอนรองกระดูกเข่า
ซึ่งกรณีหลังควรทำให้การบาดเจ็บของอวัยวะรอบๆ ข้อเข่าให้หายก่อน เช่น บางคนเอ็นอักเสบ ก็ควรจะรักษาให้หายอักเสบก่อนแล้วจึงออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อเข่าแข็งแรง

ในคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีอาการเจ็บเข่า ควรออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อขาและกล้ามเนื้อรอบๆ เข่าแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ข้อเข่าต้องทำงานหนักเกินไป

วิธีการดูแลรักษาเข่าที่ได้ผลและสามารถทได้เองที่บ้านก็คือ
1. รักษาน้ำหนักอย่าให้หนักเกิน เพราะเข่าต้องแบกรับน้ำหนักทั้งตัว โดยเฉพาะเวลาเดินหรือวิ่งจะมีช่วงที่เรายืนอยู่บนขาข้างเดียว ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนัก 2 เท่า
2. เสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข้งแรง ด้วยการออกกำลังกายท่าง่ายๆ คือ นั่งเกาอี้หลังพิงพนัก งอเข่า 90 องศา แล้วค่อยๆ เหยียดขาขวาขึ้นมาให้ตรง ยกค้างไว้ นับ 1-10 แล้วเอาลง เปลี่ยนมาทำข้างซ้าย เริ่มจากข้างละ 10 ทีแล้วค่อยๆ เพิ่มจนมาเป็นข้างละ 30 ที
3. ออกกำลังด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อรอบๆ เข่า เพื่อให้เข่ามีความยืดหยุ่น
4. หลีกเลี่ยงท่าที่มีผลเสียต่อเข่า เช่น นั่งพับเพียบ นั่งยองๆ การยกของหนักเกินไปขณะที่งอเข่า การบิดเข่าเร็วๆ เดินเร็วๆ แล้วหมุนตัวทันที จะเกิดแรงกระแทกทำให้เข่าบาดเจ็บได้ง่าย

ออกกำลังกายต้านกระดูกพรุน


โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการใดๆ ให้เราเห็นหรือการเตือนให้เรารู้ตัวก่อนเลย กว่าจะรู้ตัวก็กระดูกหักไปแล้ว ดังนั้นเราจึงควรป้องกันเสีนแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะสาวๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกกำลังกายนอกจากจะรักษาทรวดทรงแล้ว ยังช่วยป้องกันกระดูกพรุนอีกด้วยค่ะ แม้แต่คนที่เป็นกระดูกพรุนแล้วมาออกกำลังกายก็ยังไม่สายเกินไปค่ะ แม้จะไม่ทำให้มวลกระดูกเพิ่มแต่ก็ช่วยให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายแข็งแรง ทำงานได้ดีและช่วยพยุงกระดูกและการทรงตัวของเราด้วยค่ะ
การออกกำลังที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกควรเป็นแบบการลงน้ำหนัก เช่น วิ่ง รำมวยจีน การออกกำลังที่มีการกระโดด เช่น บาสเกตบอล ส่วนการว่ายน้ำและการขี่จักรยานเป็นการออกกำลังที่ไม่มีการลงน้ำหนักจึงเสริมสร้างมวลกระดูกได้น้อยกว่า นอกจากนี้การออกกำลังกาบแบบมีแรงต้านก็ยังช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกได้ เช่น การเล่นเวท ซิทอัพ เป็นต้น ในคนสูงอายุหรือคนที่มีภาวะกระดูกพรุนแล้ว ไม่ควรออกกำลังกายที่มีการกระโดด เพราะจะทำให้มีการยุบของกระดูกได้ง่าย และไม่ควรออกกำลังกายที่ต้องกระแทก เช่น เล่นฟุตบอล นอกจากนี้ควรฝึกการทรงตัว และเสริมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อช่วงลำตัว เพื่อช่วยให้กระดูกสันหลังแข็งแรงอีกด้วยค่ะ

มาตามล่าแคลเซียมกันดีกว่าค่ะ


ภาวะกระดูกพรุนไม่ได้มีเฉพาะกับสาววัยทองกันแล้วนะคะ สาวๆ ที่อายุน้อยๆ ก็มีโอกาสเกิดภาวะกระดูกพรุนได้ค่ะ หากได้รับโภชนาการที่ไม่ดีพอ แคลเซียมนอกจากจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงแล้ว ยังช่วยในการยืดหดตัวของกล้ามเนื้ออีกด้วยค่ะ แต่แคลเซียมในร่างกายเราส่วนใหญ่จะอยู่ในกระดูกและฟัน หากร่างกายได้รับแคลเซียมน้อย ร่างกายจะไปดึงแคลเซียมในกระดูกและฟันมาใช้ ทำให้กระดูกและฟันมีปัญหาได้ค่ะ
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ
ในคนอายุ 11-24 ปี ต้องการแคลเซียม 1,200-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงมีครรภ์และให้นมบุตรต้องการ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงวัยหมดประจำเดือนต้องการ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

จะหาแคลเซียมได้ที่ไหนบ้าง
* อาหาร เช่น นมพร่องมันเนย โยเกิร์ตธรรมชาติ ยอดแคสุก ใบตั้งโอ๋ เต้าหู้ขาว หอยแครงสด กุ้งแห้งตัวเล็กทั้งเปลือก ปลาร้าป่น งาดำคั่ว ผงกะหรี่ ฯลฯ

* แสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าและเย็นจะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งจะช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น

* ออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักสม่ำเสมอ เช่น วิ่ง จะกระตุ้นการสร้างกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงทรงตัวได้ดี

* อาหารเสริมแคลเซียม ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์

นอกจากนี้ยังต้องกินอาหารให้สมดุลค่ะ การที่เรากินโปรตีนมากเกินไป ทำให้เลือดเป็นกรดจากกรดอมิโน ร่างกายต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกมาปรับสมดุลให้เลือด ดังนั้นไม่ควรกินโปรตีนมากเกินไปค่ะ

วิธี ไดผมที่เปียก ให้แห้ง ด้วยตัวเอง


อุปกรณ์

ผ้าขนหนู, ไดเป่าผม, ที่หนีบผม, น้ำมันสำหรับทาผม, ครีมบำรุงผม, ที่หนีบผม

วิธีทำ

1.ใช้ผ้าขนหนู ซับผมที่เปียก ให้สะเด็ดน้ำออกไปให้มากที่สุด
2.ใช้น้ำมันทาผมให้ทั่ว
3.จากนั้น ใส่ครีมทาให้ทั่วผมอีกครั้ง
4.ใช้ที่หนีบผมขึ้น ให้ทั่ว เหลือปลายผมไว้
5.จากนั้นใช้ที่ไดผม เป่าผมให้แห้ง
6.เป่าตั้งแต่ด้านล่างจนถึงด้านบน
7.จากนั้นใส่น้ำมันเซ็ตผมให้อยู่ทรงอีกครั้ง

เคล็ดลับความสุข หาได้ง่ายๆ ไม่เกินไขว่คว้า


1.รู้ว่า “สิ่งใดควรอยากได้” ไม่ควรอยากได้อะไรที่เกินกำลังของตัวเอง
2.ลงทุนกับประสบการณ์…มิใช่สิ่งของ สิ่งของสามารถกาซื้อได้ด้วยเงิน แต่ประสบการณ์ หาซื้อได้เงินไม่
3.ลงมือสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะมีค่ามากขึ้น เมื่อเราลงมือทำเอง เช่น การ์ดทำมือ กับการ์ดซื้อ รับรองว่า คนรับจะดีใจที่ได้รับการ์ด ทำมือ มากกว่าแน่นอน
4.เก็บเซอร์ไพรส์ให้ตัวเองบ้าง
5.ปล่อยใจให้ล่องลอย มีฝันกลางวันบ้าง ก็ไม่ผิดใช่ไหมคะ
6.เปลี่ยนชีวิตทีละเล็กทีละน้อย
7.ดีพอ…ดีแล้ว มีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมือความสุข ในแต่ละวัน
8.รู้จัก “วาง” รู้จักปล่อยวางบ้าง ชีวิตเราก็มีแค่นี้ อย่ายึดตึดมากนักเลยค่ะ
ความสุขหาได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ^-^

ลิงก์ผู้สนับสนุน
» เว็บที่เราอ่านมา

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อลังการเจดีย์ 500 ยอด ณ วัดป่าสว่างบุญ


วัดนอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยพุทธแล้ว วัดหลายๆแห่งยังเป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ดังเช่นวัดป่าสว่างบุญ แห่ง ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

วัดแห่งนี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528 โดย หลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน บนเนื้อที่ กว่า 400 ไร่ ซึ่งท่านได้พลิกฟื้นพื้นที่เขาหัวโล้นอันแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อยอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เหมาะต่อการปฏิบัติธรรมมาก

สำหรับสิ่งน่าสนใจที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของวัดป่าสว่างบุญก็คือ "พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ" ที่ประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสมชายทั้งในสระบุรีและจังหวัดอื่นๆได้พร้อมใจกันสร้างในปี พ.ศ. 2548 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2550

พระมหารัตนโลหะเจดีย์ฯ มีความโดดเด่นสวยงามแปลกตากว่าเจดีย์ทั่วไปตรงที่มียอดถึง 500 ยอด จนหลายๆคนพากันเรียกขานเจดีย์แห่งนี้ใหม่ว่า "มหาเจดีย์ 500 ยอด" หรือ"เจดีย์ 500 ยอด"

เจดีย์แห่งนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร จำนวน 9 ชั้น มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีองค์เจดีย์รายองค์เล็กตั้งลดหลั่นกันลงมาอยู่รอบๆทิศ โดยมีซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุมทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบสวยงามประณีตเคลือบสีทองทั้งหมดทุกองค์

ในเจดีย์องค์ใหญ่ครอบองค์เจดีย์องค์เล็กภายในพระบรมสารีริกธาตุไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ปูนปั้นประดับกระจกทับทิมโดยอย่างสวยงาม ส่วนตามฝาผนังน่าชมไปด้วยงานประดับกระจกสีจำลองพระธาตุสำคัญๆของเมืองไทยและงานศิลปะอินเดียลวดลายต่างๆ ในขณะที่ภายในยอดของเจดีย์รายนั้นก็ได้อัญเชิญบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากที่ต่างๆมาบรรจุไว้ภายใน

นอกจากเจดีย์ 500 ยอดแล้ว วัดป่าสว่างบุญยังมีสิ่งน่าสนใจ อาทิ พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 องค์ พระอุโบสถ อาศรมรูปทรงสถูปดับขันธ์ปรินิพาน พระสัจจะเจดีย์ รวมถึงพระพุทธรูปที่มีความโดดเด่นทั้งพุทธลักษณะและวัสดุการก่อสร้างจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินปางปรินิพพานยาว 10.59 เมตรที่สร้างด้วยหินชิ้นเดียวใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พระพุทธมหาทานสว่างบุญ ปางเชียงแสนหนึ่ง หน้าตักกว้าง 109 นิ้ว ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พระพุทธรูปแกะหินหนัก 30 ตัน พระยืนบนเขา พระหินทราย เป็นต้น



วัดนอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยพุทธแล้ว วัดหลายๆแห่งยังเป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ดังเช่นวัดป่าสว่างบุญ แห่ง ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

วัดแห่งนี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528 โดย หลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน บนเนื้อที่ กว่า 400 ไร่ ซึ่งท่านได้พลิกฟื้นพื้นที่เขาหัวโล้นอันแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อยอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เหมาะต่อการปฏิบัติธรรมมาก

สำหรับสิ่งน่าสนใจที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของวัดป่าสว่างบุญก็คือ "พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ" ที่ประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสมชายทั้งในสระบุรีและจังหวัดอื่นๆได้พร้อมใจกันสร้างในปี พ.ศ. 2548 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2550

พระมหารัตนโลหะเจดีย์ฯ มีความโดดเด่นสวยงามแปลกตากว่าเจดีย์ทั่วไปตรงที่มียอดถึง 500 ยอด จนหลายๆคนพากันเรียกขานเจดีย์แห่งนี้ใหม่ว่า "มหาเจดีย์ 500 ยอด" หรือ"เจดีย์ 500 ยอด"

เจดีย์แห่งนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร จำนวน 9 ชั้น มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีองค์เจดีย์รายองค์เล็กตั้งลดหลั่นกันลงมาอยู่รอบๆทิศ โดยมีซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุมทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบสวยงามประณีตเคลือบสีทองทั้งหมดทุกองค์

ในเจดีย์องค์ใหญ่ครอบองค์เจดีย์องค์เล็กภายในพระบรมสารีริกธาตุไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ปูนปั้นประดับกระจกทับทิมโดยอย่างสวยงาม ส่วนตามฝาผนังน่าชมไปด้วยงานประดับกระจกสีจำลองพระธาตุสำคัญๆของเมืองไทยและงานศิลปะอินเดียลวดลายต่างๆ ในขณะที่ภายในยอดของเจดีย์รายนั้นก็ได้อัญเชิญบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากที่ต่างๆมาบรรจุไว้ภายใน

นอกจากเจดีย์ 500 ยอดแล้ว วัดป่าสว่างบุญยังมีสิ่งน่าสนใจ อาทิ พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 องค์ พระอุโบสถ อาศรมรูปทรงสถูปดับขันธ์ปรินิพาน พระสัจจะเจดีย์ รวมถึงพระพุทธรูปที่มีความโดดเด่นทั้งพุทธลักษณะและวัสดุการก่อสร้างจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินปางปรินิพพานยาว 10.59 เมตรที่สร้างด้วยหินชิ้นเดียวใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พระพุทธมหาทานสว่างบุญ ปางเชียงแสนหนึ่ง หน้าตักกว้าง 109 นิ้ว ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พระพุทธรูปแกะหินหนัก 30 ตัน พระยืนบนเขา พระหินทราย เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านั้น วัดป่าสว่างบุญยังมีโครงการที่จะสร้าง "พระพุทธสีหไสน์ยาสน์" ในรูปแบบศิลปะอินเดีย ยาว 145 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

อย่างไรก็ตามแม้วัดป่าสว่างบุญจะมากมายไปด้วยสิ่งชวนชม ชวนสักการะบูชา แต่วัดแห่งนี้ก็ไม่เคยลืมกิจวัตรของสงฆ์และการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างเช่น การปฏิบัติธรรม การฝึกสมาธิ โดยคงไว้ซึ่งความสงบร่มรื่นเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในการขัดเกลาจิตใจของผู้ที่มาเข้าวัดให้สงบร่มเย็นนั่นเอง