น็อตร่วมประมูลบลายธ์ครบ 1 ปี

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อลังการเจดีย์ 500 ยอด ณ วัดป่าสว่างบุญ


วัดนอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยพุทธแล้ว วัดหลายๆแห่งยังเป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ดังเช่นวัดป่าสว่างบุญ แห่ง ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

วัดแห่งนี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528 โดย หลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน บนเนื้อที่ กว่า 400 ไร่ ซึ่งท่านได้พลิกฟื้นพื้นที่เขาหัวโล้นอันแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อยอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เหมาะต่อการปฏิบัติธรรมมาก

สำหรับสิ่งน่าสนใจที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของวัดป่าสว่างบุญก็คือ "พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ" ที่ประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสมชายทั้งในสระบุรีและจังหวัดอื่นๆได้พร้อมใจกันสร้างในปี พ.ศ. 2548 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2550

พระมหารัตนโลหะเจดีย์ฯ มีความโดดเด่นสวยงามแปลกตากว่าเจดีย์ทั่วไปตรงที่มียอดถึง 500 ยอด จนหลายๆคนพากันเรียกขานเจดีย์แห่งนี้ใหม่ว่า "มหาเจดีย์ 500 ยอด" หรือ"เจดีย์ 500 ยอด"

เจดีย์แห่งนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร จำนวน 9 ชั้น มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีองค์เจดีย์รายองค์เล็กตั้งลดหลั่นกันลงมาอยู่รอบๆทิศ โดยมีซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุมทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบสวยงามประณีตเคลือบสีทองทั้งหมดทุกองค์

ในเจดีย์องค์ใหญ่ครอบองค์เจดีย์องค์เล็กภายในพระบรมสารีริกธาตุไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ปูนปั้นประดับกระจกทับทิมโดยอย่างสวยงาม ส่วนตามฝาผนังน่าชมไปด้วยงานประดับกระจกสีจำลองพระธาตุสำคัญๆของเมืองไทยและงานศิลปะอินเดียลวดลายต่างๆ ในขณะที่ภายในยอดของเจดีย์รายนั้นก็ได้อัญเชิญบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากที่ต่างๆมาบรรจุไว้ภายใน

นอกจากเจดีย์ 500 ยอดแล้ว วัดป่าสว่างบุญยังมีสิ่งน่าสนใจ อาทิ พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 องค์ พระอุโบสถ อาศรมรูปทรงสถูปดับขันธ์ปรินิพาน พระสัจจะเจดีย์ รวมถึงพระพุทธรูปที่มีความโดดเด่นทั้งพุทธลักษณะและวัสดุการก่อสร้างจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินปางปรินิพพานยาว 10.59 เมตรที่สร้างด้วยหินชิ้นเดียวใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พระพุทธมหาทานสว่างบุญ ปางเชียงแสนหนึ่ง หน้าตักกว้าง 109 นิ้ว ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พระพุทธรูปแกะหินหนัก 30 ตัน พระยืนบนเขา พระหินทราย เป็นต้น



วัดนอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยพุทธแล้ว วัดหลายๆแห่งยังเป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ดังเช่นวัดป่าสว่างบุญ แห่ง ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

วัดแห่งนี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528 โดย หลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน บนเนื้อที่ กว่า 400 ไร่ ซึ่งท่านได้พลิกฟื้นพื้นที่เขาหัวโล้นอันแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อยอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เหมาะต่อการปฏิบัติธรรมมาก

สำหรับสิ่งน่าสนใจที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของวัดป่าสว่างบุญก็คือ "พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ" ที่ประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสมชายทั้งในสระบุรีและจังหวัดอื่นๆได้พร้อมใจกันสร้างในปี พ.ศ. 2548 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2550

พระมหารัตนโลหะเจดีย์ฯ มีความโดดเด่นสวยงามแปลกตากว่าเจดีย์ทั่วไปตรงที่มียอดถึง 500 ยอด จนหลายๆคนพากันเรียกขานเจดีย์แห่งนี้ใหม่ว่า "มหาเจดีย์ 500 ยอด" หรือ"เจดีย์ 500 ยอด"

เจดีย์แห่งนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร จำนวน 9 ชั้น มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีองค์เจดีย์รายองค์เล็กตั้งลดหลั่นกันลงมาอยู่รอบๆทิศ โดยมีซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุมทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบสวยงามประณีตเคลือบสีทองทั้งหมดทุกองค์

ในเจดีย์องค์ใหญ่ครอบองค์เจดีย์องค์เล็กภายในพระบรมสารีริกธาตุไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ปูนปั้นประดับกระจกทับทิมโดยอย่างสวยงาม ส่วนตามฝาผนังน่าชมไปด้วยงานประดับกระจกสีจำลองพระธาตุสำคัญๆของเมืองไทยและงานศิลปะอินเดียลวดลายต่างๆ ในขณะที่ภายในยอดของเจดีย์รายนั้นก็ได้อัญเชิญบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากที่ต่างๆมาบรรจุไว้ภายใน

นอกจากเจดีย์ 500 ยอดแล้ว วัดป่าสว่างบุญยังมีสิ่งน่าสนใจ อาทิ พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 องค์ พระอุโบสถ อาศรมรูปทรงสถูปดับขันธ์ปรินิพาน พระสัจจะเจดีย์ รวมถึงพระพุทธรูปที่มีความโดดเด่นทั้งพุทธลักษณะและวัสดุการก่อสร้างจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินปางปรินิพพานยาว 10.59 เมตรที่สร้างด้วยหินชิ้นเดียวใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พระพุทธมหาทานสว่างบุญ ปางเชียงแสนหนึ่ง หน้าตักกว้าง 109 นิ้ว ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พระพุทธรูปแกะหินหนัก 30 ตัน พระยืนบนเขา พระหินทราย เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านั้น วัดป่าสว่างบุญยังมีโครงการที่จะสร้าง "พระพุทธสีหไสน์ยาสน์" ในรูปแบบศิลปะอินเดีย ยาว 145 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

อย่างไรก็ตามแม้วัดป่าสว่างบุญจะมากมายไปด้วยสิ่งชวนชม ชวนสักการะบูชา แต่วัดแห่งนี้ก็ไม่เคยลืมกิจวัตรของสงฆ์และการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างเช่น การปฏิบัติธรรม การฝึกสมาธิ โดยคงไว้ซึ่งความสงบร่มรื่นเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในการขัดเกลาจิตใจของผู้ที่มาเข้าวัดให้สงบร่มเย็นนั่นเอง

กาฬสินธุ์พบอีกพันธุ์ไดโนเสาร์กินพืชอายุกว่า 150 ล้านปี


อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีเผยผลการขุดค้นซากฟอสซิลที่ภูน้อย กาฬสินธุ์ พบไดโนเสาร์กินพืชสกุลใหม่ของโลกอายุกว่า 150 ล้านปี โดยมีชื้นส่วนที่ขุดพบกว่า 400 ชิ้น และยังพบซากฟอสซิสจรเข้ เต่าดึกดำบรรพ์ที่สมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เตรียมพัฒนาเป็นแหล่งศึกษาวิจัยด้านบรรพชีวินต่อไป

เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้( 18 ส.ค.) ที่ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์สิรินธร ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ นางพรทิพย์ ปั่นเจริญ อธิบดีกรมทรัยพยากรธรณี พร้อมคณะ ร่วมกันเปิดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ พร้อมกับนำชมห้องวิจัยซากดึกดำบรรพ์ และแถลงผลการขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ที่ภูน้อย อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งคณะนักวิจัยนำโดย ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้เชี่ยวชาญด้านซากดึกดำบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี ได้ทำการเปิดหลุมขุดค้นตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา

นางพรทิพย์กล่าวว่า ซากฟอสซิสไดโนเสาร์ที่พบยังภูน้อย อ.คำม่วง ปัจจุบันพบมากกว่า 400 ชิ้นมีมากกว่า 3 ตัวในหลุมเดียวกัน ในรูปแบบที่คล้ายกันที่ภูกุ้มข้าว อ.สหัขันธ์ เป็นพันธุ์กินพืชชนิดใหม่แต่มีขนาดใหญ่กว่า อยู่ในยุคจูราสซิกตอนต้นอายุราว 150 ล้านปี หลักฐานชิ้นสำคัญนักวิจัยได้พบคือกระดูกฟันกรามขนาดยาวเกือบ 50 ซม. และฟัน 3-4 ซี่ เมื่อนำมาเปรียบเทียบก็ไม่พบว่าตรงกับสกุลใดในโลก นักวิจัยไทยจึงมีความมั่นใจว่าจะเป็นสกุลและสายพันธุ์ใหม่ของโลก ในการส่งเสริมต่อไปจะทำการสร้างอาคารคลุมหลุม และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไม่ลักขโมยซากดึกดำบรรพ์ด้วย

อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีกล่าวต่อว่า ภายหลังจากการสำรวจยาวนานกว่า 7 เดือนจนขณะนี้พบว่าในชั้นหินเดียวกันกับที่พบฟอสซิลไดโนเสาร์ นักวิจัยยังพบซากฟอสซิสของกระดูกสันหลัง เขี้ยว กระโหลกของจระเข้ และกระดองเต่ากว่า 30 ชิ้น ที่มีความสมูบรณ์และถือว่าเป็นการค้นพบใหม่ เนื่องจากมีคำนวณจากอายุแล้วพบว่ามีความเก่าแก่กว่าที่เคยพบมาก่อน กำลังดำเนินการส่งชิ้นส่วนไปตรวจสอบว่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่อีกหรือไม่ และเชื่อว่าในบริเวณพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์อาจจะเป็นแหล่งรวมซากดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

สำหรับการดำเนินการขุดค้นซากฟอสซิลโดโนเสาร์ที่ภูน้อยก่อนหน้านี้ได้ทำการขุดค้นพบแล้ว 200 ชิ้น ประกอบด้วย กระดูกสันหลัง กระดูกนิ้วเท้า กระดูกซี่โครง กระดูกหน้าแข้ง กระดูกขาหน้า โดยเฉพาะกระดูกสะโพกที่มีขนาดความยาว 150 ซม. กว้าง 50 ซม.ที่ทำให้เชื่อว่าซากฟอสซิลที่พบจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ หลุมขุดค้นเริ่มที่จะสัมพันธ์กับหลุมขุดค้นในบริเวณเดียวกันจนทำให้เชื่อว่าซากฟอสซิลไดโนเสาร์ที่พบน่าจะมีความยาวกว่า 25 เมตร

ผลการขุดค้นในปัจจุบันจึงมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เพราะนักวิจัยได้รวบรวมซากฟอสซิลได้มากกว่า 400 ชิ้น แต่ในจำนวนนี้พบว่าซากที่พบบางชิ้นมีความสมบูรณ์บางชิ้นแตกละเอียด เมื่อนำมาวิจัยก็พบว่า ในหลุมขุดค้นเป็นซากฟอสซิลที่มีมากกว่า 2 ตัวและมีลักษณะนอนทับถมกันคล้ายกับซากฟอสซิลของภูกุ้มข้าว แต่สิ่งที่นับว่าพิเศษสุด นักวิจัยได้ขุดค้นพบชิ้นส่วนของหัวกะโหลกขนาดความยาวเกือบ 50 ซม. กับฟันจำนวน 3-4 ซี่ และด้วยขนาดที่มีความใหญ่ เมื่อเสาะหาแหล่งที่มาก็ยังไม่พบว่าไปตรงกับสายพันธุ์กินพืชที่ใดในโลก จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าซากฟอสซิลที่พบบริเวณภูน้อยเป็นซากฟอสซิลชนิดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทุ่งดอกกระเจียวอุทยานแห่งชาติไทรทอง


"ชัยภูมิเมืองผู้กล้า พญาแล"

ชัยภูมิ มีอารยธรรมมาตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยขอม จนถึงอิทธิพลลาวล้านช้าง ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏชื่อในฐานะเป็นหน้าด่าน และร้างลาไปในภายหลัง ต่อมาปรากฏชื่ออีกครั้งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย มีชาวเวียงจันทน์เข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองในบริเวณที่เรียกว่าโนนน้ำอ้อม มีผู้นำชื่อ แล ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองคนแรกของชัยภูมิ ต่อมาเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ ก่อกบฏยกกองทัพเข้ามาตีเมืองนครราชสีมาและหัวเมืองรายทาง นายแลเจ้าเมืองชัยภูมิ ได้ยกไพร่พลไปสมทบกับกำลังของคุณหญิงโม ตีทัพของเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ แตกพ่ายไป สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี และให้นายแลเป็นพระยาภักดีชุมพล

ชัยภูมิเป็นดินแดนแห่งทุ่งดอกกระเจียว และสายน้ำตกชุ่มฉ่ำยามหน้าฝน มีเทือกเขาที่สำคัญได้แก่ ภูพังเหย ภูแลนคา ภูพญาฝ่อ อันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำชี แบ่งการปกครองเป็น 15 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอบ้านเขว้า อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอหนองบัวแดง อำเภอจัตุรัส อำเภอภูเขียว อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอบ้านแท่น อำเภอแก้งคร้อ อำเภอคอนสาร อำเภอเทพสถิต อำเภอหนองบัวระเหว อำเภอภักดีชุมพล อำเภอเนินสง่า และกิ่งอำเภอซับใหญ่

ชัยภูมิอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 342 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 12,778 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 15 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอบ้านเขว้า อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอหนองบัวแดง อำเภอจัตุรัส อำเภอภูเขียว อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอบ้านแท่น อำเภอแก้งคร้อ อำเภอคอนสาร อำเภอเทพสถิต อำเภอหนองบัวระเหว อำเภอภักดีชุมพล อำเภอเนินสง่า และกิ่งอำเภอซับใหญ่

อาณาเขต

ทิศเหนือ จดจังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดขอนแก่น
ทิศใต้ จดจังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันออก จดจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันตก จดจังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดลพบุรี

หลวงพ่อพระใส


หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมือง ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง

ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ในเขตเทศบาลเมือง ห่างจากตัวเมืองหนองคายไปประมาณ 2 กิโลเมตร ตามทาง หลวงหมายเลข 212 ทางไป อ.โพนพิสัย วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้อล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้วของช่างไม้

ประวัติการสร้าง
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือประวัติพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2468 ว่า หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง และตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระธิดา 3 องค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บางท่านก็ว่าเป็นพระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนาม พระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ด้วยว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ

การประดิษฐาน
เดิมทีนั้นหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรีได้อัญเชิญไปไว้ที่เมืองเวียงคำ และถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทน์อีก ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฎ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควายขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่นในขณะนั้น เกิดอัศจรรย์แท่นของพระสุกได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุพัดแรงจัด และบริเวณนั้นได้นามว่า "เวินแท่น"

การล่องแพก็ยังล่องมาตามลำดับจนถึงน้ำโขง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้เกิดพายุใหญ่ เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น ในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ ซึ่งอาการวิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปเป็นอัศจรรย์ยิ่ง บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า "เวินสุก" และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้

ก็ยังเหลือแต่พระเสริม พระใส ที่ได้นำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมนั้นได้ถูกอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใส ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัย หนองคายไปกรุงเทพฯ และอัญเชิญพระใสจากวัดหอก่องขึ้นประดิษฐานบนเกวียนจะอัญเชิญลงไปกรุงเทพฯ ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธื์ชัย หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมลงกรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อเกวียนหัก"

“พระมหาธาตุแก่นนคร” พระธาตุเก้าชั้นกลางเมืองขอนแก่น


องค์พระมหาธาตุแก่นนครงามโดดเด่นเป็นสง่า


ขอนแก่นเป็นอีกจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ ชื่อ “ขอนแก่น” สันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “ขามแก่น” เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งฟอสซิลไดโนเสาร์ที่อ.ภูเวียง เขื่อนขนาดใหญ่อย่างเขื่อนอุบลรัตน์ หรือหมู่บ้านงูโคกสง่า ก็สร้างชื่อเสียงจนโด่งดังไปทั่ว


พูดถึงวัดสำคัญๆก็มีมากมายอย่าง “วัดหนองแวง” เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีมานานคู่จังหวัดขอนแก่น แต่เดิมเรียกกันว่า “วัดเหนือ” เพราะว่าวัดหนองแวงตั้งอยู่เหนือทางน้ำไหล น้ำจะไหลจากโคกและทุ่งนาที่อยู่ใกล้ๆวัดลงไปสู่บึงบอน

หลังจากนั้นน้ำจะไหลออกจากบึงบอนผ่านวัดกลางและวัดธาตุ แล้วไหลมาสู่ลำหนองโคตร ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดศรีนวล ไหลต่อไปสู่ทุ่งสร้าง ผ่านวัดศรีจันทร์ และคุ้มหนองคู


ผู้สร้างวัดนี้คือ พระนครศรีบริรักษ์ เมื่อครั้งนำไพร่พลมาตั้งถิ่นฐาน จวบจนปัจจุบันก็มีอายุกว่า217ปีแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2539 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และมหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น ทางวัดได้สร้าง “พระมหาธาตุแก่นนคร” หรือ “พระธาตุเก้าชั้น”


เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก่ออิฐถือปูน มีเรือนยอดเป็นทรงเจดีย์ จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น บนยอดเจดีย์สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของบึงแก่นนครและเมืองขอนแก่นได้อย่างเด่นชัด

องค์พระธาตุแก่นนคร มีความสูง 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุม และมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน ซึ่งเป็นลักษณะแบบชาวอีสานตากแห ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ 9 ชั้น ด้านในปูพื้นด้วยหินอ่อน


ชั้นที่1 มีลักษณะเป็นหอประชุม มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่บนบุษบกตรงกลาง มีพระประธานประดิษฐานอยู่ 4 องค์ ตรงกลาง 3 องค์ ด้านข้างทางทิศใต้ 1 องค์ ต้นเสาเขียนลวดลายสีเบญจรงค์ลายกรวยเชิงดอกพุดตาน และดอกบัว ที่คานขื่อเขียนภาพเทพชุมนุม

ล้อมรอบเพดานเขียนภาพเทพพนมปีกค้างคาวดาวล้อมเดือน จตุเทพดารา ตรงบานประตูหน้าต่างแกะสลักเป็นนิทานเรื่องจำปาสี่ต้น โดยเฉพาะบานประตูใหญ่แกะสลักเป็นรูปแบบ 3 มิติ


เมื่อเดินขึ้นบันไดมาชั้นที่ 2 เป็นหอพัก มีของเก่าที่ทางวัดนำมาจัดแสดง บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์ ภาพนิทานเรื่องสังสินไช ในชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติ บานประตูหน้าต่างเขียนภาพนิทานเรื่อง นางผมหอม


ชั้นที่ 4 เป็นหอปฏิบัติธรรม ความโดดเด่นอยู่ที่บานประตูหน้าต่าง เขียนภาพพระประจำวัน เทพประจำทิศ ตัวพึ่งตัวเสวยไว้ และเมื่องขั้นมาถึง ชั้นที่ 5 ใช้เป็นหอพิพิธภัณฑ์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธประวัติ แกะสลักเป็นภาพ 1 มิติ


ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่อง เตมีย์ใบ้ แกะสลัก 1 มิติ และชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันตสาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่อง พระเวสสันดรชาดก แกะสลัก 1 มิติ


ส่วนชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรม รวบรวมพระคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา อาทิเช่น พระไตรปิฎก บานประตูหน้าต่าง แกะสลักพรหม 16 ชั้น ถึงชั้นที่ 9 แกะสลัก 3 มิติ


ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตรงกลางบุษบก บานประตูหน้าต่างแกะสลัก 3 มิติ รูปพระพรหม 16 ชั้น และเป็นหอชมวิวทิวทัศน์ตัวเมืองขอนแก่นทั้ง 4 ด้านระเบียงด้านทิศตะวันออกจะติดบึงแก่นนครสามารถออกมายืนรับลมชมทิวทัศน์เมืองได้สวยงามเป็นอย่างยิ่ง


ใครผ่านมาเยือนขอนแก่นก็แวะมาสักการะกันได้เพราะอยู่ในตัวเมืองนี่เอง วัดตั้งอยู่ที่ ถนนกลางเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เปิดให้ เข้าชมตลอด จนถึง 18.00 น.โทร.0-4322-1664,0-4322-2479,0-4322-4479

เที่ยวเมืองเลย

ผู้ว่าฯเมืองเลย ชู 10 สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆโปรโมตเทศกาลเที่ยวเมืองเลย ระบุเลยนอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีวัดวาอารามและวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

มานิตย์ มกรพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เปิดเผยว่า เลยเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย และมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 18-20 องศาเซลเซียส นอกจากนี้เลยยังมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีวัดวาอารามที่น่าสนใจ รวมถึงมีเทศกาลงานประเพณีที่ขึ้นชื่อ อาทิ ประเพณีผีตาโขน งานไม้ดอกเมืองหนาวภูเรือ งานดอกฝ้ายบานเมืองเลย

“ในเทศกาลท่องเที่ยวเมืองเลยฤดูกาลนี้ (50-51) สำหรับผู้ที่มาเที่ยวเมืองเลย ทางจังหวัดขอแนะนำ 10 สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆของเมืองเลยที่ควรไปเที่ยวชม เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว ”

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 10 แห่งที่ผู้ว่าฯเมืองเลยระบุว่าควรไปเที่ยวชม มีดังนี้



1.ภูกระดึง
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมตลอดกาลของเลย บนภูกระดึงมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย อาทิ ทุ่งหญ้าป่าสน ป่าดิบ ดอกไม้ กล้วยไม้ ใบเมเปิ้ลแดง น้ำตกและหน้าผาชมวิว มีผาที่ดังๆอย่าง ผาหล่มสัก ผานกแอ่น เป็นต้น ล่าสุดเพิ่งได้รับตำแหน่งแชมป์ 10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในดวงใจ โดยการโหวตจากผู้อ่านอนุสาร อ.ส.ท.



2.ภูเรือ(อ.ภูเรือ)
ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่าหนาวสุดแดนสยาม ภูเรือมีอุทยานแห่งชาติภูเรือ ความหนาวเย็น เส้นทางสายดอกไม้ ธรรมชาติอันสวยงาม เป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยวในดินแดนแห่งนี้



3.ภูหลวง(เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า) อ.ภูหลวง
เป็นดินแดนแห่งพันธุ์ไม้ ที่ทีดอกไม้กล้วยไม้ป่าให้ชมมากมาย อาทิ รองเท้านารีอินทนนท์ กล้วยไม้ป่าดอกขาว เอื้องตาเหิน กุหลาบขาว-แดง



4.แก่งคุดคู้ อ.เชียงคาน
เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ขวางลำน้ำโขง กระแสน้ำไหลเชี่ยวแรง มีบริการเช่าเรือชมล่องชมแก่โดยช่วงที่เหมาะต่อการเที่ยวแก่งคือเดือน ก.พ.-พ.ค.



5. พระธาตุศรีสองรัก อ.ด่านซ้าย
พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเลย สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือกันระหว่างกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุต(ลาว)



6.สวนหินผางาม กิ่งอ.หนองหิน
เป็นสวนหินปูนอายุประมาณ 230-280 ล้านปี มีทัศนียภาพสวยงาม มากไปด้วยหินรูปทรงแปลกตาคล้ายที่คุนหมิงเมืองจีน จนได้รับการเรียกขานว่าเป็น“คุนหมิงเมืองไทย” หรือ “คุนหมิงเมืองเลย” นอกจากนี้สวนหินผางามยังเป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย



7. สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำเหืองไทย-ลาว อ.ท่าลี่
ที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวเชื่อมโยงเมืองแก่นท้าว แขวงไชยละบูลี(ไชยบุรี) สปป.ลาวได้




8.อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย(อช.นาแห้วเดิม)
มีภูมิประเทศเป็นขุนเขาสลับซับซ้อน มีสถานที่ชวนเที่ยวชม อาทิ น้ำตกคิ้ง น้ำตกช้างตก หินสี่ทิศ จุดชมวิว เนิน 1408 เป็นต้น



9.พระธาตุสัจจะ อ.ท่าลี่
มีลักษณะคล้ายพระธาตุพนม เป็นหนึ่งในพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเลยให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก



10.สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ อ.ภูเรือ
เป็นค้นคว้าทดลองไม้ดอกไม้ผลทั้งของเมืองหนาว แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมไม้ความสวยงามของไม้เมืองหนาวในสถานีฯได้

ด้านเศรษฐพันธ์ พุทธานี ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 5 เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลเที่ยวเมืองเลยทางผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในจังหวัดเลยและภูมิภาคอื่นๆจะมีแพ็คเกจพิเศษ โปรโมชั่น และส่วนลดต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเมืองเลยกันตลอดทั้งปี โดยจากความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเลย ทำให้ปีที่แล้ว จังหวัดเลยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 870,071 คน มีรายได้จากการท่องเที่ยว 1,113.22 ล้านบาท

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม


สถานที่ตั้ง

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เป็นอุทยานทางทะเลมีพื้นที่ครอบคลุมเกาะในทะเลตรัง ได้แก่
เกาะมุก เกาะกระดาน เกาะแหวน เกาะเชือก เกาะปลิง และเกาะเม็ง มีพื้นที่ตลอดแนวชายฝั่งทะเลระหว่างอำเภอสิเกาถึงอำเภอกันตัง ตั้งแต่หาดปากเม็ง หาดฉางหลาง หาดยาว และหาดเจ้าไหม







สิ่งดึงดูดใจ

๑.ถ้ำมรกตและดำน้ำลึกชมปะการังอ่อนของเกาะมุก เกาะมุกมีถ้ำมรกตอยู่ทางผาหินด้านใต้ บริเวณแหลมหินด้านเหนือ มีปะการังอ่อนใต้ทะเลที่สวยงามขึ้นอยู่หนาแน่นหลากสีทั้งสีชมพูอ่อน แดง ม่วง เหลือง และสีขาวขึ้นแซมจนลานตา มีกัลปังหาสีส้มสดใสขึ้นอยู่เป็นกอตามผาหิน นักดำน้ำชมปะการังจะพบความงามของปะการังผักกาดอย่างจุใจ มีปลาสวยงาม

ส่วนการชมถ้ำมรกตจะต้องว่ายน้ำลอดถ้ำภายในลึกประมาณ ๘๐ เมตร จะทะลุด้านในซึ่งมีชายหาดกลางหุบเขา ตามผนังถ้ำมีหินงอกหินย้อยประดับสวยงาม ชายหาดในถ้ำมรกตเงียบสงบ น้ำทะเลใสสะอาดเป็นสีเขียวตองอ่อน ท้องฟ้าสีครามปกคลุมด้วยร่มของใบไม้เขียวครึ้ม เวลาลอดออกปากถ้ำจะเห็นแสงส่องลอดพื้นน้ำทะเลจะมองเห็นน้ำทะเลปากถ้ำเป็นสีเขียวมรกตงดงามประทับใจยิ่ง

๒.ปะการังน้ำตื้นที่เกาะกระดาน บริเวณชายหาดด้านใต้ของเกาะมีปะการังน้ำตื้นอยู่ใกล้ฝั่ง เวลาน้ำลด นักท่องเที่ยวสามารถเดินดูปะการังตามชายหาดซึ่งเต็มไปด้วยปะการังเขากวาง ประการังจาน ประการังดอกเห็ด ปะการังผักกาด ปะการังสมอง โดยเฉพาะปะการังเขากวางมีมากที่สุด และยังมีปลิงทะเล
หลากสี ปลาดาวหนามแดง ดอกไม้ทะเล สาหร่ายทะเลนานาชนิด โลกใต้ทะเลจะปรากฏบนผิวน้ำในเวลาน้ำลงเต็มที่





๓.ดำน้ำตื้นชมปะการังอ่อนที่เกาะเชือก โดยเฉพาะเกาะเชือกไม่มีชายหาดสำหรับเล่นน้ำ แต่เหมาะที่จะดำน้ำตื้นชมปะการังอ่อนที่สวยงาม แต่มีกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรงจึงต้องระมัดระวังมาก นักดำน้ำจึงต้องเกาะเชือกเพื่อความปลอดภัยในการชมปะการัง

๔.ถ้ำเจ้าไหม จากคลองเจ้าไหมถึงบ้านมดตะนอย แล้วแยกไปทางเขาสูงในดงป่าโกงกางจะมีทางเข้าถ้ำเจ้าไหม ซึ่งเป็นถ้ำโบราณมี ๒ คูหา คือถ้ำล่างและถ้ำบน ภายในมีทางเลียบผนังถ้ำไปสู่โพรงถ้ำใหญ่ที่สวยงามด้วยโขดหินงอกหินย้อย ถ้ำชั้นบนตามผนังลักษณะเหมือนเปลือกหอยซ้อนเป็นชั้น ๆ

๕.หาดเจ้าไหม มีหาดทรายขาว ยาว ๕ กิโลเมตร ทิวสนทะเลเรียงรายร่มรื่นเป็นแนวยาวถึงเขาหยงหลิง และเขาโต๊ะแนะที่มีปลายแหลมยื่นออกไปในทะเล มีโขดหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกๆ ให้ชม ทิวทัศน์สวยงามเหมาะสำหรับเล่นน้ำเพราะน้ำตื้นและบริเวณกว้าง

๖.หาดฉางหลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หาดทรายเป็นหาดเปลือกหอย ทอดยาวถึงคลองปากเม็ง บนหาดมีเปลือกหอยเจดีย์ กองเปลือกหอยเรียงรายยามน้ำลด เป็นสันทรายเปลือกหอยที่สวยงามสลับอยู่ในดงสนทะเล





สิ่งอำนวยความสะดวกในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม

๑.ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
อยู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งมีข้อมูลให้บริการ มีศาลาพักผ่อน ห้องน้ำ และจุดกางเต็นท์ไว้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการพักแรม

๒.ที่พักเกาะที่มีรีสอร์ทไว้บริการ
ได้แก่ เกาะกระดาน (เกาะกระดานรีสอร์ท) และเกาะมุก (เกาะมุกรีสอร์ท



๓.ท่าเรือ
ลงเรือได้ที่ท่าเรือปากเม็ง ซึ่งจะเป็นเรือของรีสอร์ทต่างๆ หรือติดต่อล่วงหน้ากับบริษัทนำเที่ยว ซึ่งจะมีโปรแกรมไว้ให้เลือกแบบวันเดียว เล่นน้ำที่เกาะกระดาน ว่ายน้ำลอดชมถ้ำมรกต ชมปะการังที่เกาะเชือกเกาะมุก หรือโปรแกรมแบบ ๒ วัน ๑ คืน สัมผัสบรรยากาศทะเลนอนพักบนเกาะ หรือโปรแกรม ๓ วัน ๒ คืน จะได้พักผ่อนตามอัธยาศัยเรือที่นำไปยังเกาะต่าง ๆ จะจัดโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมีเสื้อชูชีพและอุปกรณ์สน๊อกเกิลสำหรับทุกคน มีมัคคุเทศก์ชำนาญพื้นที่ สามารถว่ายพาชมถ้ำและปะการังใต้น้ำได้

๔.ฤดูกาลที่เหมาะสมกับการท่องเที่ยวทางทะเลตรัง
เริ่มจากปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม




เส้นทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม อยู่ในเขตอำเภอสิเกาและกันตัง ห่างจากตัวเมืองตรัง ๔๗ กิโลเมตร

เกาะกระดานอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ ๒๐ กิโลเมตร เดินทางจากท่าเรือกันตัง ใช้เวลา ๒-๓ ชั่วโมงก็ถึงเกาะ ระยะทางจากเกาะสู่เกาะ เช่น เกาะกระดาน เกาะมุก เกาะเชือก ระยะทางไม่ห่างกันมากนักสามารถนั่งเรือเที่ยวได้ในวันเดียว

หรือจากท่าเรือปากเม็งใช้เวลาเดินทางไปเกาะมุกประมาณ ๔๐ นาที หรือเดินทางจากท่าเรือควนตุ้งกู มีเรือออกตอนเที่ยงทุกวัน

ที่มา http://www.trangview.com/index.php?topic=28.0

คนจนผู้ยิ่งใหญ่


"อภิรักต์ แซ่ฮ้อ" หรือ ตี๋ ชายหนุ่มวัย 33 ปี เขาไม่ใช่คนรวย หรือมีชื่อเสียง
มาจากไหน เขาเป็นเพียงคนจนๆ แต่งตัวมอซอๆ คนหนึ่ง ที่ดูลักษณะภายนอกอาจ
ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไปเท่าไรนัก "อภิรักต์" อาศัยอยู่ในแฟลต 8 ชั้นกับแม่ และประกอบอาชีพด้วยการเก็บเศษขยะตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ละวันเขาจะตระเวนเก็บขยะ และ
นำมาคัดแยก ก่อนจะนำขยะที่ได้ไปขาย ซึ่งก็จะได้เงินมาวันละประมาณ 50-100 บาท

แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่ได้เงินมา "อภิรักต์" จะแบ่ง
เงินส่วนหนึ่งให้แม่ได้ใช้ และเก็บไว้อีก 20 บาท และนำไปฝากธนาคาร เพื่อสะสมที
ละเล็กทีละน้อย นำมาเป็นค่าผ่าตัดหัวใจให้กับแม่ ที่ป่วยเป็นโรคหลายโรค ทั้ง
ความดัน เบาหวาน เก๊า และโรคหัวใจ

"อภิรักต์"เล่าว่า สมัยที่เป็นเด็กชายเรียนชั้น ป.1 ครูของเขาเป็นคนแนะนำให้
"อภิรักต์" เก็บออมวันละบาท พอปลายเดือนเก็บเงินได้มากแล้ว ครูจะพาไปฝากเงินที่ธนาคาร ซึ่งคำแนะนำของครูนั้น อภิรักต์ก็ได้ปฏิบัติมาเรื่อยๆ ทุกๆ วัน เขาจะนำเงิน
20 บาท ไปฝากธนาคาร จนปัจจุบันเป็นเวลา 16 ปีแล้ว "อภิรักต์" มีเงินเก็บ
มากกว่า 4 หมื่นบาท

ความซื่อและความกตัญญูของ "อภิรักต์" ทำให้ผู้คนที่อยู่ในเส้นทางที่ "อภิรักต์" ตระเวน
เก็บขยะ ต่างเอ็นดู พร้อมกับเรียกให้เขาและรถเข็นคู่ใจ เข้ามารับสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นกล่องกระดาษ ขวดน้ำ เพื่อนำไปขาย โดย "อภิรักต์" จะนำสิ่งของเหล่านี้
เข้ามากองคัดแยกในห้องพัก จนห้องดูรกรุงรังไปหมด และมีส่วนให้เขาเป็นโรคหืดหอบ
แต่ "อภิรักต์" ก็มีความสุขในแบบของเขา โดยมีแม่อยู่เคียงข้าง

อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ "อภิรักต์" ไม่ต้องอยู่ในห้องที่รกรุงรังอีกต่อไปแล้ว เพราะ
ทางรายการตีสิบได้จัดการปรับโฉมห้องให้ "อภิรักต์" ใหม่ จนดูสวยงาม และมีสุขอนามัย
ที่ดี เรียกได้ว่า แทบจำเค้าโครงห้องเดิมไม่ได้เลย ซึ่งก็ทำให้ "อภิรักต์" และแม่ดีใจมาก

และหลังจากรายการตีสิบได้นำเสนอเรื่องราวของ อภิรักต์ แซ่ฮ้อ อยู่บ่อยครั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา อภิรักต์ ก็ได้มาออกรายการเพื่อเล่า
เรื่องราวที่ผ่านมาให้ฟัง ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา
มีข่าวลือว่า อภิรักต์ เพราะถูกยิงที่บ่อนไก่ ซึ่งใกล้กับบ้านของเขา อภิรักต์ จึงเล่า
ให้ฟังว่า คนที่ถูกยิงจริง ๆ คือ ตี๋ คลองเตย ซึ่งชื่อ ตี๋ เป็นชื่อเล่นเดียวกันกับ
เขา ทำให้คนเข้าใจผิดไปนั่นเอง

แม้ อภิรักต์ จะมีคนรู้จักมากขึ้น ได้รางวัล และกำลังจะมีผลงาน
ภาพยนตร์ แต่ อภิรักต์ ก็ยังมีชีวิตเหมือนเดิม เป็นคน ๆ เดิม คงทำหน้าที่
เดินเก็บขยะพร้อมรถเข็นคู่ใจอย่างไม่ย่อท้อต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาเงิน
ทุกบาททุกสตางค์ฝากไว้ที่ธนาคาร และโชคดีที่มีหลาย ๆ คนรู้จักเขา เรียกเขาไป
เก็บขยะที่บ้าน โดยไม่ต้องไปคุ้ยหาตามถังขยะให้ยากขึ้น



ความมุมานะของ อภิรักต์ ในการเข็นรถขยะหาเงินทุกบาททุกสตางค์ให้แม่ ทำให้
เขาได้รับการคัดเลือกเป็นลูกกตัญญู จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
โดยเข้ารับประทานโล่เกียรติคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี
พระวรราชาทินัดดามาตุ ในวันแม่แห่งชาติประจำปี 2553 ที่ผ่านมาด้วย

แถมล่าสุด อภิรักต์ แซ่ฮ้อ กำลังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกของชีวิต ในชื่อเรื่อง "ยายสั่งมาใหญ่" จากผลงานการกำกับของ นุ้ย เชิญยิ้ม ที่เขา
จะได้ประกบตลกชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย ซึ่งทุกคนก็เอ็นดู อภิรักต์ มากเลยทีเดียว

เห็นเรื่องราวของ "อภิรักต์ แซ่ฮ้อ" หนุ่มเก็บขยะคนซื่อคนนี้แล้ว คงอดอมยิ้มและ
ประทับใจตามไปด้วยไม่ได้ นี่แหละคือคนจนผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่ และยึดความกตัญญู
เป็นทางเดินของชีวิต คนธรรมดา ๆ ปกติบางคน เห็นแล้วอาจต้องอายตาม
"อภิรักต์" เลยล่ะ

เปิดแล้ว! โรงแรม “ล้านดาว” แห่งแรกในโลก


เปิดแล้ว! โรงแรม “ล้านดาว” แห่งแรกในโลก นอกเมือง “บาด คิซซิงเก้น (Bad Kissingen)” รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งข้าวสาลีและทุ่งข้าวโพด อีกทั้งยังไม่ใช่โรงแรมหรูอย่างที่หลายคนคิด เพราะมีเพียงเตียง ผ้าห่มฟาง ส้วมหลุม และทัศนียภาพงามๆ ของดวงดาวนับล้านในยามค่ำคืนไว้คอยบริการเท่านั้น



ต้องบอกว่าอะไรก็เป็นไปได้ในโลกนี้ ขอแค่มีไอเดีย กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่หลายคนไม่กล้าหรือนึกไม่ถึง ก็อาจนำมาซึ่งความสำเร็จเหมือนอย่างนางโมนิก้า ฟริตซ์ ชาวเยอรมันวัย 42 ปี ที่ไถทุ่งข้าวสาลีให้เป็นรูปอาคารแทนการสร้างตัวโรงแรม หลังจากนั้น ก็นำเตียงมาตั้งภายในกรอบที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งขุดหลุมสำหรับก่อไฟและใช้เป็นห้องสุขา (ที่ไม่มีผนังและหลังคา) ส่งผลให้แขกผู้มาเยือนสามารถนอนตากลม ห่มฟ้า และดูดาวนับล้านๆ ดวง ได้แบบไม่มีอะไรมาคั่นสายตา



แม้โรงแรมเปิดใหม่แห่งนี้จะถูกเรียกว่า “โรงแรมล้านดาว” เพื่อดึงดูด
นักท่องเที่ยว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้นั้น
ค่อนข้างจำกัด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติ ชอบความเรียบง่าย
และติดดินอย่างแท้จริง เพราะนอกจากเตียงและฟางข้าวแล้ว
สิ่งที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ก็มีเพียงหลุมสำหรับติดไฟประกอบอาหาร
และสร้างความอบอุ่น ในขณะที่ส้วมก็ตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่ง
โดยมีเพียงทุ่งข้าวช่วยบดบังสายตา



หลายคนที่ทราบข่าวต่างพากันสงสัยและมึนงง ว่าสถานที่แบบนี้เรียกว่า
โรงแรม “ล้านดาว” ได้อย่างไร ซึ่งทางเจ้าของอธิบายว่า แม้สิ่งอำนวยความสะดวก
ภายในโรงแรมแห่งนี้จะมีจำกัด และไม่หรูหราสะดวกสบายเหมือนการเข้าพัก
ในโรงแรมทั่วไป แต่รับรองได้ว่าทัศนียภาพยามค่ำคืนของที่นี่ “สวยตะลึง”
และคุ้มค่ากับการมาเยือนอย่างแน่นอน แถมอากาศก็บริสุทธิ์ สดชื่น
นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบยังไม่มีไฟฟ้า ทำให้มองเห็นดวงดาวนับล้านได้อย่างชัดเจน




สำหรับอัตราค่าเข้าพักภายในโรงแรมแห่งนี้อยู่ที่คืนละ 3-7 ยูโร (ราว 121-283 บาท) โดยฤดูที่เหมาะแก่การเข้าพักมากที่สุดก็คือ ช่วงฤดูร้อน เพราะกลางคืนอากาศเย็นสบาย ไม่หนาวมาก แต่ฤดูดังกล่าวมีระยะเวลาที่สั้นมากๆ เพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น (หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว)


เห็นเป็นโรงแรมง่ายๆ แทบไม่ลงทุนอย่างนี้ ขอบอกว่ามียอดจองจากนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วประมาณ 400 ราย โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ถูกจองจนเต็มล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว



หมายเหตุ:

นอกจากโรงแรมแห่งนี้แล้ว ที่เยอรมนียังมีโรงแรมอีกแห่งที่ให้แขกผู้มาเยือนนอนกลางตากลม ห่มฟ้า (ในสวนหลังบ้าน) แต่มีความสะดวกสบายมากกว่า ซึ่งจะนำมารายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป

“ผู้หญิง 3 แบบที่คุณอาจไม่เข้าใจ”


หลายครั้งที่ผู้หญิงมักแสดงอาการแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ โดย เฉพาะในยามที่รู้สึกไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรัก เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงรู้สึกว่าคนรักของตนเปลี่ยนแปลงไป โดยสงสัยว่าอาจจะมีใครอีกคนเข้ามาทำให้เค้าเปลี่ยนไป การแสดงออกของแต่ละคนจะแตกต่างกัน

แบบที่ 1 ระเบิดอารมณ์

ผู้หญิง แบบนี้มักจะเก็บอารมณ์ไม่ค่อยได้ จะต้องซักถามเอาคำตอบทันที บางรายจะชวนทะเลาะ แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และคาดคั้นเอาคำตอบ พูดกันจนกว่าจะเคลียร์ ถ้าหากพูดกันไม่จบก็อาจจะมีการไปราวีบุคคลที่ 3 หรือกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา (ประเภทแฟนข้าใครอย่าแหยม แต่ถ้าข้าไม่ได้ ใครก็อย่าหวังจะได้เลย เอากันให้ตายไปข้าง)

แบบที่ 2 คิดมากและน้อยใจคนเดียว

ผู้หญิง แบบนี้มักจะเป็นคนคิดมาก และแอบน้อยใจคนเดียว จนกลายเป็นไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตนเองไร้ความสำคัญ หรืออีกฝ่ายหมดรักตัวเองแล้ว มักจะไม่แสดงออกโดยตรง แต่จะมาในรูปของการงอน เงียบ หลบหน้าหลบตา ไม่รับโทรศัพท์ หรือขาดการติดต่อ แต่จะไม่ตีโพยตีพาย บางรายหากแน่ใจว่าคนรักไม่รักตนอีกแล้วก็จะตัดใจและจากไปเงียบๆ โดยไม่มีคำร่ำลา (เพราะทำใจไม่ได้และเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกัน หากเค้าหมดรักก็ไม่อยากที่จะรั้งเอาไว้ เพราะมีแต่จะเสียใจไปเปล่า ๆ)

แบบที่ 3 ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผู้หญิง แบบนี้ จะไม่ตีโพยตีพายตั้งแต่แรก แต่จะคอยสังเกตพฤติกรรมเงียบ ๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เมื่อพบว่าตัวเองเข้าใจผิดก็จะเฉยซะ แต่ถ้าเข้าใจถูกก็จะเปิดใจพูดกัน หากฝ่ายชายเคลียร์ตัวเองได้ก็จบ ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องเลิกรากันไป (เพราะผู้หญิงแบบนี้มองว่าตัวเองก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเขามีคนอื่นแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียเวลากันต่อไปอีก สู้หาแฟนใหม่มาดามใจดีกว่า)

ซึ่งไม่ ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม คุณผู้ชายทั้งหลายก็ควรจะระวังเอาไว้ อย่าปล่อยให้ความระแวงเข้ามาในใจแฟนของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสียคนที่คุณรักไปก็ได้ มีอะไรก็พูดอธิบายให้คนรักของคุณเข้าใจ เพราะบางทีสิ่งที่คุณคิดว่าไม่มีอะไร อาจจะกลายเป็นสิ่งที่กำลังทำลายความรักของคุณอยู่ก็ได้