น็อตร่วมประมูลบลายธ์ครบ 1 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลุ่มเอ็นจีโอล้มเวทีฯค้านแผนแม่บทภูมิอากาศ


กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจาก 14 จังหวัดภาคใต้ และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 16 เครือข่าย ประมาณ 200 คน คัดค้านแผนแม่บทฯ พัฒนาภาคใต้ หวั่นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และหนุนใช้พลังนิวเคลียร์…

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมไดมอนด์พลาซ่า อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี นายจิรวัชร์ สิงห์ดี รองู้ว่าราชการ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานเปิดเวทีประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทรองรับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ พ.ศ.2553-2562 จัดโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อชี้แจงข้อมูลการดำเนินการด้านวิชาการ งานวิจัยและพัฒนา ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งท่าทีและจุดยืนของประเทศไทย ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทดังกล่าวจากทุกภาคส่วนทั้ง หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชนในพื้นที่ภาคใต้

ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมได้มีกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจาก 14 จังหวัดภาคใต้ และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 16 เครือข่าย ประมาณ 200 คน อาทิ เครือข่ายพันธมิตรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์ เครือข่ายอนุรักษ์อ่าวบ้านดอน เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อก๊าซจะนะ จ.สงขลา กลุ่มศึกษาการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น ได้นำรถบรรทุก 6 ล้อติดตั้งเครื่องขยายเสียง เปิดเวทีแสดงความคิดเห็นคัดค้านแผนแม่บทฯเป็นเวทีคู่ขนานภาคประชาชนขึ้นที่ บริเวณลานด้านหน้าโรงแรมน โดยเฉพาะแผนพัฒนาภาคใต้หรือเซาธ์เทิร์นซีบอร์ดที่เกี่ยวกับการจัดตั้งนิคม อุตสาหกรรม ที่จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งการส่งเสริมใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน

น.ส.กรอุมา น้อยคง แกนนำกลุ่มอนุรักษ์บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า การร่างแผนแม่บทไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง เพราะภาคประชาชนไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งจะปล่อยให้แผนแม่บทออกไปเช่นนี้ไม่ได้ เนื่องจากแผนพัฒนาภาคใต้ล้วนเป็นการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมเหล็ก ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าถ่านหิน พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งจะเป็นตัวการสำคัญทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอาชีพประมงและเกษตรของชาวภาคใต้

ด้าน น.ส.อาระยา นันทโพธิเดช รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกมาชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ด้านหน้าโรงแรม ว่า การรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่ง ชาติ พ.ศ.2553-2562 เป็นการมารับฟังความคิดเห็นจากประชาชนไม่ใช่การมาชี้แจงแผน เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ตามที่ประชาชนคิด ซึ่งจะต้องให้โอกาสกับเจ้าหน้าที่ในการชี้แจงด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า ต่อมาเวลา 11.00 น. ระหว่างที่นายวุฒิ หวังวัชรกุล วิทยากรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำลังบรรยายเกี่ยวภาวะโลกร้อนบนเวทีการประชุม ได้มีตัวแทนผู้ชุมนุมประมาณ 10 คน ลุกขึ้นกล่าวโจมตีการร่างแผนแม่บทฯของทางราชการ โดยระบุไม่ได้มาจากประชาชนและขอให้ผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นในห้องประชุมเลิกการประชุม จนทำให้เกิดความวุ่นวายและเจ้าหน้าที่ต้องปิดไฟภายในห้องประชุมจนมีการและยก เลิกเวทีประชุมในที่สุด อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดยังคงปักหลักอยู่ที่ด้านหน้าโรงแรมจนเห็น ว่าการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของ ส.ผ.เลิกแน่แล้ว และไม่มีการจัดเวทีรับความคิดเห็นเพ่อนำไปเป็นข้ออ้างในการ เสนอแผนแม่บทฯ จึงได้แยกย้ายเดินทางกลับ

ข้อผิดพลาด10ประการทำวิกฤติตัวประกันปินส์เหลว


นัก วิเคราะห์ด้านการรักษาความปลอดภัย ผู้เคยทำงานให้กับกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายของสหราชอาณาจักร รวมไปถึง กรมตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด ระบุ การที่ตำรวจฟิลิปปินส์บุกล้อมรถบัสนักท่องเที่ยวเพื่อช่วยตัว ประกันในกรุงมะนิลาวันก่อนแสดงถึงความกล้าหาญยอดเยี่ยม แต่การขาดการฝึกซ้อมที่ดี…

“ชาร์ลส์ ชูบริดจ์” นักวิเคราะห์ด้านการรักษาความปลอดภัย ผู้เคยทำงานให้กับกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายของสหราชอาณาจักร รวมไปถึง กรมตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด ระบุ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฟิลิปปินส์บุกล้อมรถบัสนักท่องเที่ยวเพื่อช่วยตัว ประกันในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์เมื่อ วันก่อนนั้นแสดงถึงความกล้าหาญได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การขาดการฝึกซ้อมที่ดี Read the rest of this entry »

วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ลูกทุกคนควรอ่าน‏


ตึกเซนต์หลุยมารี แผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539

เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้

เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…

วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก

ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่งมีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …

มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…

ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วยกำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันทีท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …

ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …

คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …

แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ

มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า

มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”

มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ

มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ

ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด

หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….

“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”


แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝนต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำคนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวันก็ยังโง่เท่าเดิม

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ…

โดยท่าน ว. วชิรเมธี

คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว


คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่

เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ? เด็กบอกอย่างสุภาพ

อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมา ทีละตัว เขานับ…แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น ไหนว่ามีเจ็ดต ัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ? เด็กชายถาม

เจ้าของร้านตอบว่า อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี
มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้

สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน

ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ เห็นได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก

เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ? ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ เจ้าของร้านตอบ

เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น

ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้ เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย

เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?

ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริง อาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม?

เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า คุณอาดูอะไรนี่สิครับ

ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น

เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้

คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ?

เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา

เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ ในราคาสองพันบาท เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอโทษขอโพย ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป

เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง ที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก

………………..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

ที่มา : นิทานสีขาว
เล่าโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา