น็อตร่วมประมูลบลายธ์ครบ 1 ปี

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มสาวออฟฟิศ ระวังหมอนรองกระดูกเสื่อมเร็ว


หากคิดว่า หมอนรองกระดูกเสื่อมเป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุเท่านั้น แสดงว่าคุณกำลังประมาทกับสุขภาพเกินไป เพราะความเสื่อมของหมอนรองกระดูกมีโอกาสมาเยือนได้เร็วก่อนวัย และก็เป็นไปได้มากเสียด้วย โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมถึงคนที่ชอบกิจกรรมประเภทกีฬาโลดโผนสุดโต่งทั้งหลายก็มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน
ปัญหาที่พบบ่อยจากหมอนรองกระดูกเสื่อม คือโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าอาการปวดที่เป็นอยู่คือสัญญาณของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แต่ก่อนจะลงรายละเอียดถึงโรค ก็ต้องทำความรู้จักหมอนรองกระดูกเสียก่อน

นพ.พรเอนก ตาดทอง ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ กล่าวว่า กระดูกสันหลังของเราประกอบด้วยกระดูกหลายๆ ชิ้นมาต่อกัน ระหว่างกระดูกเหล่านี้จะมีอวัยวะชนิดหนึ่งคั่นอยู่เราเรียกว่า "หมอนรองกระดูก" เพราะฉะนั้นกระดูกสันหลังมีกี่อัน หมอนรองกระดูกก็มีใกล้เคียงกัน

"หมอนรองกระดูก" มีชื่อตามตำราว่า Intervertebral disc ถ้าจะจำเพาะลงไปตามตำแหน่งก็เป็นว่า หมอนรองกระดูกคอ เรียกว่า Cervical disc และหมอนรองกระดูกที่เอวเรียกว่า Lumbar disc หมอนรองกระดูกไม่ได้เป็นกระดูก แต่จะประกอบด้วยส่วนใหญ่ๆ 2 ส่วนคือ วงรอบนอกจะเป็นเอ็นแข็งๆ เรียกว่า Anular ligament และใจกลางจะเป็นเหมือนเจลใสๆ เรียกว่า Nucleus pulposus ทั้งหมดมีหน้าที่รับแรกกระแทกและทำให้เราเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังได้ดีขึ้น

เริ่มจากรูปจะเห็นว่า ด้านหลังของหมอนรองกระดูกจะเป็นที่อยู่ของไขสันหลัง และด้านหลังออกมาด้านข้างเล็กน้อยก็จะเป็นทางออกของเส้นประสาทที่จะมาเลี้ยงแขน (ถ้าเป็นตำแหน่งของคอ) และเลี้ยงขา (ถ้าเป็นตำแหน่งของเอว) โดยภาวะปกติกระดูกหลังมักไม่ยื่นไปกดไขสันหลังหรือเส้นประสาทยกเว้นกรณีอุบัติเหตุที่กระดูกสันหลังหัก หรือในภาวะที่กระดูกสันหลังเสื่อมมากๆ จนผิดรูปไปกดเอาไขสันหลังหรือเส้นประสาทได้

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้อย่างไร
จากภาพจะเห็นได้ว่า หมอนรองกระดูกสันหลังกับเส้นประสาทอยู่ไม่ห่างกันเลย เมื่อไรก็ตามที่หมอนรองกระดูกยื่นออกมาทางด้านหลังเยื้องไปด้านข้างสักนิด ก็จะไปกดทับเส้นประสาทได้ ยิ่งถ้ามีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง จะยิ่งทำให้หมอนรองกระดูกยื่นออกมามากขึ้น

สาเหตุที่ทำให้แกนภายในของหมอนรองกระดูกยื่นออกมาทับเส้นประสาทเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การที่ร่างกายมีขอบของหมอนรองกระดูกไม่เท่ากันมาแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ เช่น การล้มก้นกระแทกพื้น หรือการที่เราอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมากจนเกิดการอักเสบ มีการหดเกร็งจนแรงไปกระทำให้หมอนรองกระดูกยื่นออกมามากจนกดทับเส้นประสาท

อาการของโรค
อาการปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เป็นอาการเด่นของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ปวดมากหรือปวดน้อยขึ้นอยู่กับว่าเส้นประสาทถูกกดมากหรือน้อยเป็นสำคัญ ถ้าทิ้งไว้นานเส้นประสาทจะทำงานได้น้อยลง อาการชาและอ่อนแรงของขาซีกนั้นจะเริ่มเด่นชัดขั้น อาการทั้งหมดจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น คนที่เป็นจะคุ้นเคยกับอาการและบอกรายละเอียดของอาการได้เป็นอย่างดี

มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกดทับเส้นประสาท โดยจะมีการแบ่งลักษณะของหมอนรองกระดูกออกเป็นระยะๆ ทั้งนี้เนื่องจากการรักษาในแต่ละระยะแตกต่างกัน
1. ระยะ Protusion ผนังของหมอนรองกระดูกจะยังไม่เสียความยืดหยุ่นไปมากนัก การรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด ตลอดจนการรู้จักวิธีเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังเพื่อป้องกันไม่ให้มีการอักเสบ จะสามารถช่วยให้อาการของโรคไม่กำเริบและหายได้ในที่สุด
2. ระยะ Prolapse ในระยะนี้ผนังของหมอนรองกระดูกเริ่มเสียความยืดหยุ่นไปแล้วแต่ยังไม่ถึงกับแตกจนส่วนแกนในไหลออกมา การรักษาโดยการผ่าตัดน่าจะได้ผลดีที่สุด
3. ระยะ Extrusion ผ่าตัดแน่นอนครับ
4. ระยะ Sequestration ระยะนี้ก็ต้องผ่าตัดเหมือนกันครับ
จะเห็นได้ว่า ทั้งสี่ระยะโอกาสที่จะไม่ต้องผ่าตัดมีเพียงระยะแรกเท่านั้น การผ่าตัดกระดูกสันหลังเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่พึงปรารถนา แม้ว่าปัจจุบันอันตรายจะน้อยลงกว่าสมัยก่อนมากก็ตาม

ปัจจุบันมีวิธีรักษาแบบใหม่โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่ เรียกว่า Nucleoplasty หรือ การจี้ด้วยคลื่นความร้อน เทคนิคในการทำ Nucleoplasty คือจะใช้การฉีดยาเฉพาะที่บริเวณที่จะใช้เข็มเจาะ โดยมีเครื่องเอ็กซเรย์ช่วยในการมองภาพหมอนรองกระดูกสันหลัง เข็มที่เจาะลงไปจะมีแกนในซึ่งเป็นหัวจี้ ปล่อยคลื่นความร้อนออกมาจี้ที่หมอนรองกระดูกสันหลัง มีผลให้ความดันในหมอนรองกระดูกลดลง ทำให้เกิดการดึงหมอนรองกระดูกที่ยื่นอยู่ให้กลับเข้ามา เส้นประสาทที่กระดูกกดทับอยู่ก็ฟื้นสภาพได้ ผลข้างเคียง อาจมีอาการระบมจากการเจาะเข็มบ้างเล็กน้อย วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดร้าวลงขาเป็นๆ หายๆ และไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัด

ประโยชน์จากการรักษาด้วยวิธี Nucleoplasty
แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็วไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หลังผ่าตัดอาจต้องพัก 1-2 ชั่วโมง และสามารถกลับบ้านได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ การใช้วิธีนี้ยังสามารถลดการอักเสบภายในหมอนรองกระดูกได้ด้วย มีผลให้อาการปวดหลังและปวดขาลดลง

การป้องกันไม่ให้โรคเลื่อนจากระยะแรก นับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทำได้ดังนี้

* พบแพทย์ทันทีที่มีอาการปวดหลังแล้วร้าวลงขา
* ให้ความสำคัญกับการปวดหลังทุกครั้ง อย่าลืมว่าคนปกติไม่ปวดหลังนะครับ หาสาเหตุทุกครั้งที่มีอาการปวดหลัง หาเองไม่พบก็ไปพบแพทย์
* พึงระลึกไว้เสมอว่า การทานยารักษาอาการปวดหลังเป็นการรักษาปลายเหตุ การรักษาคือต้องแก้ที่สาเหตุ และสาเหตุของอาการปวดหลังที่พบบ่อยที่สุดคือ การอยู่ในท่าต่างๆ ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
* Warm ร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ทำ Stretching Exercise ของกล้ามเนื้อหลังทุกครั้งก่อนออกรอบ
* การนวดจะดีสำหรับอาการเมื่อยและไม่ดีสำหรับอาการปวด ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่เป็นอาการปวด หรือเมื่อย ก็ไม่ควรไปนวด เพราะจะทำให้อาการแย่ลงในกรณีที่ไปเจอหมอนวดประเภทมือใหม่ไฟแรง…

ข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี

อาบน้ำต้านหวัด


ช่วงนี้ไข้หวัดกำลังระบาดหนัก หากรู้สึกว่าเริ่มจะเป็นหวัดควรหาทางป้องกันโดยด่วนเลยค่ะ วิธีหนึ่งที่เลดี้ทิปขอนำเสนอคือวิธีการอาบน้ำ ซึ่งจะช่วยหยุดโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ
ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นมะกรูด กลิ่นทีทรี อย่างละ 2 หยด ผสมลงในน้ำมันสวีทอัลมอนด์ หรือโจโจบา หรืออาโวคาโด 4 ช้อนชา หรือใช้นมสดไม่พร่องไขมัน 4 ช้อนชาก็ได้ นำทั้งหมดเทลงในน้ำร้อนในอ่างอาบน้ำ น้ำร้อนจะช่วยระเหยเอาน้ำมันหอมระเหยออกมา แช่ในน้ำอุ่น 20 นาที เท่านี้คุณก็จะอาการทุเลาจากหวัดได้ค่ะ
มีข้อความระวังสำหรับคนที่ตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ค่ะ และหากผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้กลิ่นมะกรูดค่ะ สามารถทดสอบอาการแพ้ก่อนโดยทาน้ำมันที่ข้อมือก่อนที่จะผสมลงในอ่างอาบน้ำค่ะ

9 สมุนไพรเพื่อผู้หญิง


เพราะผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ความสวยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสวยเฉพาะภายนอกนะคะ ต้องสวยทั้งภายในและภายนอกนี่สิ ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบจริง
เพราะผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย ไม่มีต่อมลูกหมากให้อักเสบ ไม่ต้องทรมานใจจากศีรษะล้าน แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะไมมีปัญหาอะไรเลย อย่างเรื่องของวัยทองยังไงล่ะคะ ทั้งอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ฯลฯ แต่โชคดีที่อย่างน้อยเราสามารถเยียวยาอาการดังกล่าวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งสมุนไพร 9 ชนิดนี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

1. Black Cohosh - สำหรับผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืน

จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนของหญิงวัยทองได้ดี เชื่อกันว่าการออกฤทธิ์ของสารใน Black Cohosh คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย

2. Chaste Tree Berry - สำหรับอาการปวดประจำเดือน

ผู้หญิงที่ได้เข้าร่วมทดลองกิน Chaste Tree Berry กว่า 52% ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาการระคายเคือง หงุดหงิดง่าย และปวดศีรษะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้กิน Chaste Tree Berry นอกจากนี้ สมุนไพรดังกล่าวยังช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย

3. Cranberry - สำหรับการป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

หลายคนคงคุ้นชื่อสมุนไพรชนิดนี้เป็นอย่างดี แครนเบอร์รี่มีผลยับยั้งการยึดเกาะของเชื้อโรคกับผนังทางเดินปัสสาวะและ กระเพาะปัสสาวะ จึงป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในทางเดินอาหารไม่ควรรับประทานนะคะ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

4. Dong Quai - สำหรับสุขภาพโดยรวม

อีกหนึ่งสมุนไพรที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นโสมสำหรับผู้หญิง เพราะตังกุยช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีรอบเดือนเป็นปกติ และคลายกังวลได้ดี เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ

ชาวจีนโบราณนิยมใช้ตังกุยในการเพิ่มธาตุหยินให้ร่างกายอีกด้วย

5. Flaxseed - สำหรับสุขภาพของหัวใจ

Flaxseed อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นชนิด omega3 ที่ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้

6. Feverfew - สำหรับการปวดศีรษะ

Feverfew สามารถ ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการปวดศีรษะ ลดความถี่ของการปวดศีรษะ และลดอาการอักเสบที่เกี่ยวกับการหดตัวของหลอดเลือดได้ แต่คุณผู้หญิงที่กำลังตังครรภ์และผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ ควรกิน Feverfew นะคะ

7.Turmeric – ป้องกันการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

ขมิ้นมีสาระสำคัญคือ Curcuminoids ซึ่ง เป็นสารต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ขมิ้นกำลังเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จในการเป็นยารักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถป้องกันการแบ่งตัวของมะเร็งได้

8.Green Tea - ต้านมะเร็ง

จากวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ เพราะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) จะ ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทั้งยังจะไปจับกับโปรตีนบางชนิดในเซลล์ปกติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนเป็นเซลล์ มะเร็ง

9.Ginger - ระงับอาการคลื่นไส้

สำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้ระหว่าง ตั้งครรภ์ ขิงเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เป็น อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระงับอาการคลื่นไส้เนื่องจากเมารถ หรือจากการได้รับยาต้านมะเร็งได้อีกด้วย

นิตยสารเปรียว

ขัดผิว ขจัดผิวเก่าเผยผิวใหม่ ใสกิ๊ก


วันนี้เลดี้ทิปมีสูตรผิวสวยใสมาฝากกันอีกแล้วค่ะ เป็นสูตรง่ายๆ ที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านเราเองค่ะ ลองดูกันนะคะ ใครได้ผลยังไงมาบอกกันมั่งนะคะ
สูตรที่ 1 ผสมเกลือเล็กน้อยลงในโยเกิร์ตธรรมชาติ ขัดผิวให้ทั่ว แล้วล้างออก เกลือจะช่วยขจัดเซลผิวที่ตายแล้วออกไป โยเกิร์ตก็จะช่วยให้ผิวใหม่นุ่มนวลสวยใสค่ะ

สูตรที่ 2 ผสมเกลือกับเบบี้ออยล์ ใช้ขัดตัว เซลผิวเก่าจะหลุดออกไปและให้ความชุ่มชื่นกับผิวค่ะ

ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ


น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะบำรุงร่างกายไปจนถึงรักาาโรคต่างๆ มากมาย แต่ใครจะรู้ถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งได้อย่างเต็มที่ วันนี้เลดี้ทิปได้นำวิธีการดื่มน้ำผึ้งเพื่อประโยชน์ต่างๆ มาให้อ่านกันค่ะ แล้วลองนำไปใช้ดูนะคะ ได้ผลยังไง มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ
1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5 . ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร
7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว
10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่เย็นแล้วล้าง ให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผล ไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็น ประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็น ประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด( 10-20 % ) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย

ออกกำลังบรรเทาอาการปวดเข่า


หัวเข่าเป็นอวัยวะที่กระดูก 2 ชิ้นมาต่อกัน โดยมีเพียงหมอนรองกระดูกกั้นตรงกลางเท่านั้น จึงไม่มีความมั่นคงและง่ายต่อการบาดเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อสูงอายุ หัวเข่าย่อมมีการเสื่อมลงเป็นธรรมดา แต่คนในวัยรุ่นหรือวัยกลางคนที่เจ็บหัวเข่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นเข่าเสื่อม แต่อาจเกิดจากอวัยวะรอบๆ เข่าบาดเจ็บเช่น กล้ามเนื้อ เอ็นรอบข้อเข่า หรือหมอนรองกระดูกเข่า
ซึ่งกรณีหลังควรทำให้การบาดเจ็บของอวัยวะรอบๆ ข้อเข่าให้หายก่อน เช่น บางคนเอ็นอักเสบ ก็ควรจะรักษาให้หายอักเสบก่อนแล้วจึงออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อเข่าแข็งแรง

ในคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีอาการเจ็บเข่า ควรออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อขาและกล้ามเนื้อรอบๆ เข่าแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ข้อเข่าต้องทำงานหนักเกินไป

วิธีการดูแลรักษาเข่าที่ได้ผลและสามารถทได้เองที่บ้านก็คือ
1. รักษาน้ำหนักอย่าให้หนักเกิน เพราะเข่าต้องแบกรับน้ำหนักทั้งตัว โดยเฉพาะเวลาเดินหรือวิ่งจะมีช่วงที่เรายืนอยู่บนขาข้างเดียว ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนัก 2 เท่า
2. เสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข้งแรง ด้วยการออกกำลังกายท่าง่ายๆ คือ นั่งเกาอี้หลังพิงพนัก งอเข่า 90 องศา แล้วค่อยๆ เหยียดขาขวาขึ้นมาให้ตรง ยกค้างไว้ นับ 1-10 แล้วเอาลง เปลี่ยนมาทำข้างซ้าย เริ่มจากข้างละ 10 ทีแล้วค่อยๆ เพิ่มจนมาเป็นข้างละ 30 ที
3. ออกกำลังด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อรอบๆ เข่า เพื่อให้เข่ามีความยืดหยุ่น
4. หลีกเลี่ยงท่าที่มีผลเสียต่อเข่า เช่น นั่งพับเพียบ นั่งยองๆ การยกของหนักเกินไปขณะที่งอเข่า การบิดเข่าเร็วๆ เดินเร็วๆ แล้วหมุนตัวทันที จะเกิดแรงกระแทกทำให้เข่าบาดเจ็บได้ง่าย

ออกกำลังกายต้านกระดูกพรุน


โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการใดๆ ให้เราเห็นหรือการเตือนให้เรารู้ตัวก่อนเลย กว่าจะรู้ตัวก็กระดูกหักไปแล้ว ดังนั้นเราจึงควรป้องกันเสีนแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะสาวๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกกำลังกายนอกจากจะรักษาทรวดทรงแล้ว ยังช่วยป้องกันกระดูกพรุนอีกด้วยค่ะ แม้แต่คนที่เป็นกระดูกพรุนแล้วมาออกกำลังกายก็ยังไม่สายเกินไปค่ะ แม้จะไม่ทำให้มวลกระดูกเพิ่มแต่ก็ช่วยให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายแข็งแรง ทำงานได้ดีและช่วยพยุงกระดูกและการทรงตัวของเราด้วยค่ะ
การออกกำลังที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกควรเป็นแบบการลงน้ำหนัก เช่น วิ่ง รำมวยจีน การออกกำลังที่มีการกระโดด เช่น บาสเกตบอล ส่วนการว่ายน้ำและการขี่จักรยานเป็นการออกกำลังที่ไม่มีการลงน้ำหนักจึงเสริมสร้างมวลกระดูกได้น้อยกว่า นอกจากนี้การออกกำลังกาบแบบมีแรงต้านก็ยังช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกได้ เช่น การเล่นเวท ซิทอัพ เป็นต้น ในคนสูงอายุหรือคนที่มีภาวะกระดูกพรุนแล้ว ไม่ควรออกกำลังกายที่มีการกระโดด เพราะจะทำให้มีการยุบของกระดูกได้ง่าย และไม่ควรออกกำลังกายที่ต้องกระแทก เช่น เล่นฟุตบอล นอกจากนี้ควรฝึกการทรงตัว และเสริมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อช่วงลำตัว เพื่อช่วยให้กระดูกสันหลังแข็งแรงอีกด้วยค่ะ

มาตามล่าแคลเซียมกันดีกว่าค่ะ


ภาวะกระดูกพรุนไม่ได้มีเฉพาะกับสาววัยทองกันแล้วนะคะ สาวๆ ที่อายุน้อยๆ ก็มีโอกาสเกิดภาวะกระดูกพรุนได้ค่ะ หากได้รับโภชนาการที่ไม่ดีพอ แคลเซียมนอกจากจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงแล้ว ยังช่วยในการยืดหดตัวของกล้ามเนื้ออีกด้วยค่ะ แต่แคลเซียมในร่างกายเราส่วนใหญ่จะอยู่ในกระดูกและฟัน หากร่างกายได้รับแคลเซียมน้อย ร่างกายจะไปดึงแคลเซียมในกระดูกและฟันมาใช้ ทำให้กระดูกและฟันมีปัญหาได้ค่ะ
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ
ในคนอายุ 11-24 ปี ต้องการแคลเซียม 1,200-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงมีครรภ์และให้นมบุตรต้องการ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงวัยหมดประจำเดือนต้องการ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

จะหาแคลเซียมได้ที่ไหนบ้าง
* อาหาร เช่น นมพร่องมันเนย โยเกิร์ตธรรมชาติ ยอดแคสุก ใบตั้งโอ๋ เต้าหู้ขาว หอยแครงสด กุ้งแห้งตัวเล็กทั้งเปลือก ปลาร้าป่น งาดำคั่ว ผงกะหรี่ ฯลฯ

* แสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าและเย็นจะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งจะช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น

* ออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักสม่ำเสมอ เช่น วิ่ง จะกระตุ้นการสร้างกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงทรงตัวได้ดี

* อาหารเสริมแคลเซียม ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์

นอกจากนี้ยังต้องกินอาหารให้สมดุลค่ะ การที่เรากินโปรตีนมากเกินไป ทำให้เลือดเป็นกรดจากกรดอมิโน ร่างกายต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกมาปรับสมดุลให้เลือด ดังนั้นไม่ควรกินโปรตีนมากเกินไปค่ะ

วิธี ไดผมที่เปียก ให้แห้ง ด้วยตัวเอง


อุปกรณ์

ผ้าขนหนู, ไดเป่าผม, ที่หนีบผม, น้ำมันสำหรับทาผม, ครีมบำรุงผม, ที่หนีบผม

วิธีทำ

1.ใช้ผ้าขนหนู ซับผมที่เปียก ให้สะเด็ดน้ำออกไปให้มากที่สุด
2.ใช้น้ำมันทาผมให้ทั่ว
3.จากนั้น ใส่ครีมทาให้ทั่วผมอีกครั้ง
4.ใช้ที่หนีบผมขึ้น ให้ทั่ว เหลือปลายผมไว้
5.จากนั้นใช้ที่ไดผม เป่าผมให้แห้ง
6.เป่าตั้งแต่ด้านล่างจนถึงด้านบน
7.จากนั้นใส่น้ำมันเซ็ตผมให้อยู่ทรงอีกครั้ง

เคล็ดลับความสุข หาได้ง่ายๆ ไม่เกินไขว่คว้า


1.รู้ว่า “สิ่งใดควรอยากได้” ไม่ควรอยากได้อะไรที่เกินกำลังของตัวเอง
2.ลงทุนกับประสบการณ์…มิใช่สิ่งของ สิ่งของสามารถกาซื้อได้ด้วยเงิน แต่ประสบการณ์ หาซื้อได้เงินไม่
3.ลงมือสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะมีค่ามากขึ้น เมื่อเราลงมือทำเอง เช่น การ์ดทำมือ กับการ์ดซื้อ รับรองว่า คนรับจะดีใจที่ได้รับการ์ด ทำมือ มากกว่าแน่นอน
4.เก็บเซอร์ไพรส์ให้ตัวเองบ้าง
5.ปล่อยใจให้ล่องลอย มีฝันกลางวันบ้าง ก็ไม่ผิดใช่ไหมคะ
6.เปลี่ยนชีวิตทีละเล็กทีละน้อย
7.ดีพอ…ดีแล้ว มีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมือความสุข ในแต่ละวัน
8.รู้จัก “วาง” รู้จักปล่อยวางบ้าง ชีวิตเราก็มีแค่นี้ อย่ายึดตึดมากนักเลยค่ะ
ความสุขหาได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ^-^

ลิงก์ผู้สนับสนุน
» เว็บที่เราอ่านมา