น็อตร่วมประมูลบลายธ์ครบ 1 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลุ่มเอ็นจีโอล้มเวทีฯค้านแผนแม่บทภูมิอากาศ


กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจาก 14 จังหวัดภาคใต้ และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 16 เครือข่าย ประมาณ 200 คน คัดค้านแผนแม่บทฯ พัฒนาภาคใต้ หวั่นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และหนุนใช้พลังนิวเคลียร์…

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมไดมอนด์พลาซ่า อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี นายจิรวัชร์ สิงห์ดี รองู้ว่าราชการ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานเปิดเวทีประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทรองรับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ พ.ศ.2553-2562 จัดโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อชี้แจงข้อมูลการดำเนินการด้านวิชาการ งานวิจัยและพัฒนา ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งท่าทีและจุดยืนของประเทศไทย ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทดังกล่าวจากทุกภาคส่วนทั้ง หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชนในพื้นที่ภาคใต้

ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมได้มีกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจาก 14 จังหวัดภาคใต้ และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 16 เครือข่าย ประมาณ 200 คน อาทิ เครือข่ายพันธมิตรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์ เครือข่ายอนุรักษ์อ่าวบ้านดอน เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อก๊าซจะนะ จ.สงขลา กลุ่มศึกษาการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น ได้นำรถบรรทุก 6 ล้อติดตั้งเครื่องขยายเสียง เปิดเวทีแสดงความคิดเห็นคัดค้านแผนแม่บทฯเป็นเวทีคู่ขนานภาคประชาชนขึ้นที่ บริเวณลานด้านหน้าโรงแรมน โดยเฉพาะแผนพัฒนาภาคใต้หรือเซาธ์เทิร์นซีบอร์ดที่เกี่ยวกับการจัดตั้งนิคม อุตสาหกรรม ที่จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งการส่งเสริมใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน

น.ส.กรอุมา น้อยคง แกนนำกลุ่มอนุรักษ์บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า การร่างแผนแม่บทไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง เพราะภาคประชาชนไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งจะปล่อยให้แผนแม่บทออกไปเช่นนี้ไม่ได้ เนื่องจากแผนพัฒนาภาคใต้ล้วนเป็นการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมเหล็ก ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าถ่านหิน พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งจะเป็นตัวการสำคัญทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอาชีพประมงและเกษตรของชาวภาคใต้

ด้าน น.ส.อาระยา นันทโพธิเดช รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกมาชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ด้านหน้าโรงแรม ว่า การรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่ง ชาติ พ.ศ.2553-2562 เป็นการมารับฟังความคิดเห็นจากประชาชนไม่ใช่การมาชี้แจงแผน เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ตามที่ประชาชนคิด ซึ่งจะต้องให้โอกาสกับเจ้าหน้าที่ในการชี้แจงด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า ต่อมาเวลา 11.00 น. ระหว่างที่นายวุฒิ หวังวัชรกุล วิทยากรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำลังบรรยายเกี่ยวภาวะโลกร้อนบนเวทีการประชุม ได้มีตัวแทนผู้ชุมนุมประมาณ 10 คน ลุกขึ้นกล่าวโจมตีการร่างแผนแม่บทฯของทางราชการ โดยระบุไม่ได้มาจากประชาชนและขอให้ผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นในห้องประชุมเลิกการประชุม จนทำให้เกิดความวุ่นวายและเจ้าหน้าที่ต้องปิดไฟภายในห้องประชุมจนมีการและยก เลิกเวทีประชุมในที่สุด อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดยังคงปักหลักอยู่ที่ด้านหน้าโรงแรมจนเห็น ว่าการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของ ส.ผ.เลิกแน่แล้ว และไม่มีการจัดเวทีรับความคิดเห็นเพ่อนำไปเป็นข้ออ้างในการ เสนอแผนแม่บทฯ จึงได้แยกย้ายเดินทางกลับ

ข้อผิดพลาด10ประการทำวิกฤติตัวประกันปินส์เหลว


นัก วิเคราะห์ด้านการรักษาความปลอดภัย ผู้เคยทำงานให้กับกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายของสหราชอาณาจักร รวมไปถึง กรมตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด ระบุ การที่ตำรวจฟิลิปปินส์บุกล้อมรถบัสนักท่องเที่ยวเพื่อช่วยตัว ประกันในกรุงมะนิลาวันก่อนแสดงถึงความกล้าหาญยอดเยี่ยม แต่การขาดการฝึกซ้อมที่ดี…

“ชาร์ลส์ ชูบริดจ์” นักวิเคราะห์ด้านการรักษาความปลอดภัย ผู้เคยทำงานให้กับกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายของสหราชอาณาจักร รวมไปถึง กรมตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด ระบุ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฟิลิปปินส์บุกล้อมรถบัสนักท่องเที่ยวเพื่อช่วยตัว ประกันในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์เมื่อ วันก่อนนั้นแสดงถึงความกล้าหาญได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การขาดการฝึกซ้อมที่ดี Read the rest of this entry »

วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ลูกทุกคนควรอ่าน‏


ตึกเซนต์หลุยมารี แผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539

เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้

เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…

วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก

ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่งมีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …

มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…

ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วยกำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันทีท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …

ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …

คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …

แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ

มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า

มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”

มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ

มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ

ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด

หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….

“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”


แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝนต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำคนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวันก็ยังโง่เท่าเดิม

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ…

โดยท่าน ว. วชิรเมธี

คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว


คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่

เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ? เด็กบอกอย่างสุภาพ

อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมา ทีละตัว เขานับ…แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น ไหนว่ามีเจ็ดต ัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ? เด็กชายถาม

เจ้าของร้านตอบว่า อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี
มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้

สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน

ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ เห็นได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก

เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ? ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ เจ้าของร้านตอบ

เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น

ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้ เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย

เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?

ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริง อาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม?

เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า คุณอาดูอะไรนี่สิครับ

ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น

เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้

คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ?

เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา

เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ ในราคาสองพันบาท เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอโทษขอโพย ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป

เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง ที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก

………………..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

ที่มา : นิทานสีขาว
เล่าโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มสาวออฟฟิศ ระวังหมอนรองกระดูกเสื่อมเร็ว


หากคิดว่า หมอนรองกระดูกเสื่อมเป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุเท่านั้น แสดงว่าคุณกำลังประมาทกับสุขภาพเกินไป เพราะความเสื่อมของหมอนรองกระดูกมีโอกาสมาเยือนได้เร็วก่อนวัย และก็เป็นไปได้มากเสียด้วย โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมถึงคนที่ชอบกิจกรรมประเภทกีฬาโลดโผนสุดโต่งทั้งหลายก็มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน
ปัญหาที่พบบ่อยจากหมอนรองกระดูกเสื่อม คือโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าอาการปวดที่เป็นอยู่คือสัญญาณของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แต่ก่อนจะลงรายละเอียดถึงโรค ก็ต้องทำความรู้จักหมอนรองกระดูกเสียก่อน

นพ.พรเอนก ตาดทอง ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ กล่าวว่า กระดูกสันหลังของเราประกอบด้วยกระดูกหลายๆ ชิ้นมาต่อกัน ระหว่างกระดูกเหล่านี้จะมีอวัยวะชนิดหนึ่งคั่นอยู่เราเรียกว่า "หมอนรองกระดูก" เพราะฉะนั้นกระดูกสันหลังมีกี่อัน หมอนรองกระดูกก็มีใกล้เคียงกัน

"หมอนรองกระดูก" มีชื่อตามตำราว่า Intervertebral disc ถ้าจะจำเพาะลงไปตามตำแหน่งก็เป็นว่า หมอนรองกระดูกคอ เรียกว่า Cervical disc และหมอนรองกระดูกที่เอวเรียกว่า Lumbar disc หมอนรองกระดูกไม่ได้เป็นกระดูก แต่จะประกอบด้วยส่วนใหญ่ๆ 2 ส่วนคือ วงรอบนอกจะเป็นเอ็นแข็งๆ เรียกว่า Anular ligament และใจกลางจะเป็นเหมือนเจลใสๆ เรียกว่า Nucleus pulposus ทั้งหมดมีหน้าที่รับแรกกระแทกและทำให้เราเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังได้ดีขึ้น

เริ่มจากรูปจะเห็นว่า ด้านหลังของหมอนรองกระดูกจะเป็นที่อยู่ของไขสันหลัง และด้านหลังออกมาด้านข้างเล็กน้อยก็จะเป็นทางออกของเส้นประสาทที่จะมาเลี้ยงแขน (ถ้าเป็นตำแหน่งของคอ) และเลี้ยงขา (ถ้าเป็นตำแหน่งของเอว) โดยภาวะปกติกระดูกหลังมักไม่ยื่นไปกดไขสันหลังหรือเส้นประสาทยกเว้นกรณีอุบัติเหตุที่กระดูกสันหลังหัก หรือในภาวะที่กระดูกสันหลังเสื่อมมากๆ จนผิดรูปไปกดเอาไขสันหลังหรือเส้นประสาทได้

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้อย่างไร
จากภาพจะเห็นได้ว่า หมอนรองกระดูกสันหลังกับเส้นประสาทอยู่ไม่ห่างกันเลย เมื่อไรก็ตามที่หมอนรองกระดูกยื่นออกมาทางด้านหลังเยื้องไปด้านข้างสักนิด ก็จะไปกดทับเส้นประสาทได้ ยิ่งถ้ามีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง จะยิ่งทำให้หมอนรองกระดูกยื่นออกมามากขึ้น

สาเหตุที่ทำให้แกนภายในของหมอนรองกระดูกยื่นออกมาทับเส้นประสาทเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การที่ร่างกายมีขอบของหมอนรองกระดูกไม่เท่ากันมาแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ เช่น การล้มก้นกระแทกพื้น หรือการที่เราอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมากจนเกิดการอักเสบ มีการหดเกร็งจนแรงไปกระทำให้หมอนรองกระดูกยื่นออกมามากจนกดทับเส้นประสาท

อาการของโรค
อาการปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เป็นอาการเด่นของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ปวดมากหรือปวดน้อยขึ้นอยู่กับว่าเส้นประสาทถูกกดมากหรือน้อยเป็นสำคัญ ถ้าทิ้งไว้นานเส้นประสาทจะทำงานได้น้อยลง อาการชาและอ่อนแรงของขาซีกนั้นจะเริ่มเด่นชัดขั้น อาการทั้งหมดจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น คนที่เป็นจะคุ้นเคยกับอาการและบอกรายละเอียดของอาการได้เป็นอย่างดี

มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกดทับเส้นประสาท โดยจะมีการแบ่งลักษณะของหมอนรองกระดูกออกเป็นระยะๆ ทั้งนี้เนื่องจากการรักษาในแต่ละระยะแตกต่างกัน
1. ระยะ Protusion ผนังของหมอนรองกระดูกจะยังไม่เสียความยืดหยุ่นไปมากนัก การรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด ตลอดจนการรู้จักวิธีเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังเพื่อป้องกันไม่ให้มีการอักเสบ จะสามารถช่วยให้อาการของโรคไม่กำเริบและหายได้ในที่สุด
2. ระยะ Prolapse ในระยะนี้ผนังของหมอนรองกระดูกเริ่มเสียความยืดหยุ่นไปแล้วแต่ยังไม่ถึงกับแตกจนส่วนแกนในไหลออกมา การรักษาโดยการผ่าตัดน่าจะได้ผลดีที่สุด
3. ระยะ Extrusion ผ่าตัดแน่นอนครับ
4. ระยะ Sequestration ระยะนี้ก็ต้องผ่าตัดเหมือนกันครับ
จะเห็นได้ว่า ทั้งสี่ระยะโอกาสที่จะไม่ต้องผ่าตัดมีเพียงระยะแรกเท่านั้น การผ่าตัดกระดูกสันหลังเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่พึงปรารถนา แม้ว่าปัจจุบันอันตรายจะน้อยลงกว่าสมัยก่อนมากก็ตาม

ปัจจุบันมีวิธีรักษาแบบใหม่โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่ เรียกว่า Nucleoplasty หรือ การจี้ด้วยคลื่นความร้อน เทคนิคในการทำ Nucleoplasty คือจะใช้การฉีดยาเฉพาะที่บริเวณที่จะใช้เข็มเจาะ โดยมีเครื่องเอ็กซเรย์ช่วยในการมองภาพหมอนรองกระดูกสันหลัง เข็มที่เจาะลงไปจะมีแกนในซึ่งเป็นหัวจี้ ปล่อยคลื่นความร้อนออกมาจี้ที่หมอนรองกระดูกสันหลัง มีผลให้ความดันในหมอนรองกระดูกลดลง ทำให้เกิดการดึงหมอนรองกระดูกที่ยื่นอยู่ให้กลับเข้ามา เส้นประสาทที่กระดูกกดทับอยู่ก็ฟื้นสภาพได้ ผลข้างเคียง อาจมีอาการระบมจากการเจาะเข็มบ้างเล็กน้อย วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดร้าวลงขาเป็นๆ หายๆ และไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัด

ประโยชน์จากการรักษาด้วยวิธี Nucleoplasty
แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็วไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หลังผ่าตัดอาจต้องพัก 1-2 ชั่วโมง และสามารถกลับบ้านได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ การใช้วิธีนี้ยังสามารถลดการอักเสบภายในหมอนรองกระดูกได้ด้วย มีผลให้อาการปวดหลังและปวดขาลดลง

การป้องกันไม่ให้โรคเลื่อนจากระยะแรก นับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทำได้ดังนี้

* พบแพทย์ทันทีที่มีอาการปวดหลังแล้วร้าวลงขา
* ให้ความสำคัญกับการปวดหลังทุกครั้ง อย่าลืมว่าคนปกติไม่ปวดหลังนะครับ หาสาเหตุทุกครั้งที่มีอาการปวดหลัง หาเองไม่พบก็ไปพบแพทย์
* พึงระลึกไว้เสมอว่า การทานยารักษาอาการปวดหลังเป็นการรักษาปลายเหตุ การรักษาคือต้องแก้ที่สาเหตุ และสาเหตุของอาการปวดหลังที่พบบ่อยที่สุดคือ การอยู่ในท่าต่างๆ ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
* Warm ร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ทำ Stretching Exercise ของกล้ามเนื้อหลังทุกครั้งก่อนออกรอบ
* การนวดจะดีสำหรับอาการเมื่อยและไม่ดีสำหรับอาการปวด ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่เป็นอาการปวด หรือเมื่อย ก็ไม่ควรไปนวด เพราะจะทำให้อาการแย่ลงในกรณีที่ไปเจอหมอนวดประเภทมือใหม่ไฟแรง…

ข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี

อาบน้ำต้านหวัด


ช่วงนี้ไข้หวัดกำลังระบาดหนัก หากรู้สึกว่าเริ่มจะเป็นหวัดควรหาทางป้องกันโดยด่วนเลยค่ะ วิธีหนึ่งที่เลดี้ทิปขอนำเสนอคือวิธีการอาบน้ำ ซึ่งจะช่วยหยุดโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ
ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นมะกรูด กลิ่นทีทรี อย่างละ 2 หยด ผสมลงในน้ำมันสวีทอัลมอนด์ หรือโจโจบา หรืออาโวคาโด 4 ช้อนชา หรือใช้นมสดไม่พร่องไขมัน 4 ช้อนชาก็ได้ นำทั้งหมดเทลงในน้ำร้อนในอ่างอาบน้ำ น้ำร้อนจะช่วยระเหยเอาน้ำมันหอมระเหยออกมา แช่ในน้ำอุ่น 20 นาที เท่านี้คุณก็จะอาการทุเลาจากหวัดได้ค่ะ
มีข้อความระวังสำหรับคนที่ตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ค่ะ และหากผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้กลิ่นมะกรูดค่ะ สามารถทดสอบอาการแพ้ก่อนโดยทาน้ำมันที่ข้อมือก่อนที่จะผสมลงในอ่างอาบน้ำค่ะ

9 สมุนไพรเพื่อผู้หญิง


เพราะผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ความสวยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสวยเฉพาะภายนอกนะคะ ต้องสวยทั้งภายในและภายนอกนี่สิ ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบจริง
เพราะผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย ไม่มีต่อมลูกหมากให้อักเสบ ไม่ต้องทรมานใจจากศีรษะล้าน แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะไมมีปัญหาอะไรเลย อย่างเรื่องของวัยทองยังไงล่ะคะ ทั้งอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ฯลฯ แต่โชคดีที่อย่างน้อยเราสามารถเยียวยาอาการดังกล่าวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งสมุนไพร 9 ชนิดนี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

1. Black Cohosh - สำหรับผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืน

จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนของหญิงวัยทองได้ดี เชื่อกันว่าการออกฤทธิ์ของสารใน Black Cohosh คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย

2. Chaste Tree Berry - สำหรับอาการปวดประจำเดือน

ผู้หญิงที่ได้เข้าร่วมทดลองกิน Chaste Tree Berry กว่า 52% ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาการระคายเคือง หงุดหงิดง่าย และปวดศีรษะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้กิน Chaste Tree Berry นอกจากนี้ สมุนไพรดังกล่าวยังช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย

3. Cranberry - สำหรับการป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

หลายคนคงคุ้นชื่อสมุนไพรชนิดนี้เป็นอย่างดี แครนเบอร์รี่มีผลยับยั้งการยึดเกาะของเชื้อโรคกับผนังทางเดินปัสสาวะและ กระเพาะปัสสาวะ จึงป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในทางเดินอาหารไม่ควรรับประทานนะคะ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

4. Dong Quai - สำหรับสุขภาพโดยรวม

อีกหนึ่งสมุนไพรที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นโสมสำหรับผู้หญิง เพราะตังกุยช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีรอบเดือนเป็นปกติ และคลายกังวลได้ดี เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ

ชาวจีนโบราณนิยมใช้ตังกุยในการเพิ่มธาตุหยินให้ร่างกายอีกด้วย

5. Flaxseed - สำหรับสุขภาพของหัวใจ

Flaxseed อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นชนิด omega3 ที่ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้

6. Feverfew - สำหรับการปวดศีรษะ

Feverfew สามารถ ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการปวดศีรษะ ลดความถี่ของการปวดศีรษะ และลดอาการอักเสบที่เกี่ยวกับการหดตัวของหลอดเลือดได้ แต่คุณผู้หญิงที่กำลังตังครรภ์และผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ ควรกิน Feverfew นะคะ

7.Turmeric – ป้องกันการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

ขมิ้นมีสาระสำคัญคือ Curcuminoids ซึ่ง เป็นสารต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ขมิ้นกำลังเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จในการเป็นยารักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถป้องกันการแบ่งตัวของมะเร็งได้

8.Green Tea - ต้านมะเร็ง

จากวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ เพราะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) จะ ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทั้งยังจะไปจับกับโปรตีนบางชนิดในเซลล์ปกติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนเป็นเซลล์ มะเร็ง

9.Ginger - ระงับอาการคลื่นไส้

สำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้ระหว่าง ตั้งครรภ์ ขิงเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เป็น อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระงับอาการคลื่นไส้เนื่องจากเมารถ หรือจากการได้รับยาต้านมะเร็งได้อีกด้วย

นิตยสารเปรียว

ขัดผิว ขจัดผิวเก่าเผยผิวใหม่ ใสกิ๊ก


วันนี้เลดี้ทิปมีสูตรผิวสวยใสมาฝากกันอีกแล้วค่ะ เป็นสูตรง่ายๆ ที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านเราเองค่ะ ลองดูกันนะคะ ใครได้ผลยังไงมาบอกกันมั่งนะคะ
สูตรที่ 1 ผสมเกลือเล็กน้อยลงในโยเกิร์ตธรรมชาติ ขัดผิวให้ทั่ว แล้วล้างออก เกลือจะช่วยขจัดเซลผิวที่ตายแล้วออกไป โยเกิร์ตก็จะช่วยให้ผิวใหม่นุ่มนวลสวยใสค่ะ

สูตรที่ 2 ผสมเกลือกับเบบี้ออยล์ ใช้ขัดตัว เซลผิวเก่าจะหลุดออกไปและให้ความชุ่มชื่นกับผิวค่ะ

ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ


น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะบำรุงร่างกายไปจนถึงรักาาโรคต่างๆ มากมาย แต่ใครจะรู้ถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งได้อย่างเต็มที่ วันนี้เลดี้ทิปได้นำวิธีการดื่มน้ำผึ้งเพื่อประโยชน์ต่างๆ มาให้อ่านกันค่ะ แล้วลองนำไปใช้ดูนะคะ ได้ผลยังไง มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ
1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5 . ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร
7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว
10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่เย็นแล้วล้าง ให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผล ไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็น ประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็น ประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด( 10-20 % ) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย

ออกกำลังบรรเทาอาการปวดเข่า


หัวเข่าเป็นอวัยวะที่กระดูก 2 ชิ้นมาต่อกัน โดยมีเพียงหมอนรองกระดูกกั้นตรงกลางเท่านั้น จึงไม่มีความมั่นคงและง่ายต่อการบาดเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อสูงอายุ หัวเข่าย่อมมีการเสื่อมลงเป็นธรรมดา แต่คนในวัยรุ่นหรือวัยกลางคนที่เจ็บหัวเข่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นเข่าเสื่อม แต่อาจเกิดจากอวัยวะรอบๆ เข่าบาดเจ็บเช่น กล้ามเนื้อ เอ็นรอบข้อเข่า หรือหมอนรองกระดูกเข่า
ซึ่งกรณีหลังควรทำให้การบาดเจ็บของอวัยวะรอบๆ ข้อเข่าให้หายก่อน เช่น บางคนเอ็นอักเสบ ก็ควรจะรักษาให้หายอักเสบก่อนแล้วจึงออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อเข่าแข็งแรง

ในคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีอาการเจ็บเข่า ควรออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อขาและกล้ามเนื้อรอบๆ เข่าแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ข้อเข่าต้องทำงานหนักเกินไป

วิธีการดูแลรักษาเข่าที่ได้ผลและสามารถทได้เองที่บ้านก็คือ
1. รักษาน้ำหนักอย่าให้หนักเกิน เพราะเข่าต้องแบกรับน้ำหนักทั้งตัว โดยเฉพาะเวลาเดินหรือวิ่งจะมีช่วงที่เรายืนอยู่บนขาข้างเดียว ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนัก 2 เท่า
2. เสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข้งแรง ด้วยการออกกำลังกายท่าง่ายๆ คือ นั่งเกาอี้หลังพิงพนัก งอเข่า 90 องศา แล้วค่อยๆ เหยียดขาขวาขึ้นมาให้ตรง ยกค้างไว้ นับ 1-10 แล้วเอาลง เปลี่ยนมาทำข้างซ้าย เริ่มจากข้างละ 10 ทีแล้วค่อยๆ เพิ่มจนมาเป็นข้างละ 30 ที
3. ออกกำลังด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อรอบๆ เข่า เพื่อให้เข่ามีความยืดหยุ่น
4. หลีกเลี่ยงท่าที่มีผลเสียต่อเข่า เช่น นั่งพับเพียบ นั่งยองๆ การยกของหนักเกินไปขณะที่งอเข่า การบิดเข่าเร็วๆ เดินเร็วๆ แล้วหมุนตัวทันที จะเกิดแรงกระแทกทำให้เข่าบาดเจ็บได้ง่าย

ออกกำลังกายต้านกระดูกพรุน


โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการใดๆ ให้เราเห็นหรือการเตือนให้เรารู้ตัวก่อนเลย กว่าจะรู้ตัวก็กระดูกหักไปแล้ว ดังนั้นเราจึงควรป้องกันเสีนแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะสาวๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกกำลังกายนอกจากจะรักษาทรวดทรงแล้ว ยังช่วยป้องกันกระดูกพรุนอีกด้วยค่ะ แม้แต่คนที่เป็นกระดูกพรุนแล้วมาออกกำลังกายก็ยังไม่สายเกินไปค่ะ แม้จะไม่ทำให้มวลกระดูกเพิ่มแต่ก็ช่วยให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายแข็งแรง ทำงานได้ดีและช่วยพยุงกระดูกและการทรงตัวของเราด้วยค่ะ
การออกกำลังที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกควรเป็นแบบการลงน้ำหนัก เช่น วิ่ง รำมวยจีน การออกกำลังที่มีการกระโดด เช่น บาสเกตบอล ส่วนการว่ายน้ำและการขี่จักรยานเป็นการออกกำลังที่ไม่มีการลงน้ำหนักจึงเสริมสร้างมวลกระดูกได้น้อยกว่า นอกจากนี้การออกกำลังกาบแบบมีแรงต้านก็ยังช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกได้ เช่น การเล่นเวท ซิทอัพ เป็นต้น ในคนสูงอายุหรือคนที่มีภาวะกระดูกพรุนแล้ว ไม่ควรออกกำลังกายที่มีการกระโดด เพราะจะทำให้มีการยุบของกระดูกได้ง่าย และไม่ควรออกกำลังกายที่ต้องกระแทก เช่น เล่นฟุตบอล นอกจากนี้ควรฝึกการทรงตัว และเสริมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อช่วงลำตัว เพื่อช่วยให้กระดูกสันหลังแข็งแรงอีกด้วยค่ะ

มาตามล่าแคลเซียมกันดีกว่าค่ะ


ภาวะกระดูกพรุนไม่ได้มีเฉพาะกับสาววัยทองกันแล้วนะคะ สาวๆ ที่อายุน้อยๆ ก็มีโอกาสเกิดภาวะกระดูกพรุนได้ค่ะ หากได้รับโภชนาการที่ไม่ดีพอ แคลเซียมนอกจากจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงแล้ว ยังช่วยในการยืดหดตัวของกล้ามเนื้ออีกด้วยค่ะ แต่แคลเซียมในร่างกายเราส่วนใหญ่จะอยู่ในกระดูกและฟัน หากร่างกายได้รับแคลเซียมน้อย ร่างกายจะไปดึงแคลเซียมในกระดูกและฟันมาใช้ ทำให้กระดูกและฟันมีปัญหาได้ค่ะ
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ
ในคนอายุ 11-24 ปี ต้องการแคลเซียม 1,200-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงมีครรภ์และให้นมบุตรต้องการ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงวัยหมดประจำเดือนต้องการ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

จะหาแคลเซียมได้ที่ไหนบ้าง
* อาหาร เช่น นมพร่องมันเนย โยเกิร์ตธรรมชาติ ยอดแคสุก ใบตั้งโอ๋ เต้าหู้ขาว หอยแครงสด กุ้งแห้งตัวเล็กทั้งเปลือก ปลาร้าป่น งาดำคั่ว ผงกะหรี่ ฯลฯ

* แสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าและเย็นจะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งจะช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น

* ออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักสม่ำเสมอ เช่น วิ่ง จะกระตุ้นการสร้างกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงทรงตัวได้ดี

* อาหารเสริมแคลเซียม ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์

นอกจากนี้ยังต้องกินอาหารให้สมดุลค่ะ การที่เรากินโปรตีนมากเกินไป ทำให้เลือดเป็นกรดจากกรดอมิโน ร่างกายต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกมาปรับสมดุลให้เลือด ดังนั้นไม่ควรกินโปรตีนมากเกินไปค่ะ

วิธี ไดผมที่เปียก ให้แห้ง ด้วยตัวเอง


อุปกรณ์

ผ้าขนหนู, ไดเป่าผม, ที่หนีบผม, น้ำมันสำหรับทาผม, ครีมบำรุงผม, ที่หนีบผม

วิธีทำ

1.ใช้ผ้าขนหนู ซับผมที่เปียก ให้สะเด็ดน้ำออกไปให้มากที่สุด
2.ใช้น้ำมันทาผมให้ทั่ว
3.จากนั้น ใส่ครีมทาให้ทั่วผมอีกครั้ง
4.ใช้ที่หนีบผมขึ้น ให้ทั่ว เหลือปลายผมไว้
5.จากนั้นใช้ที่ไดผม เป่าผมให้แห้ง
6.เป่าตั้งแต่ด้านล่างจนถึงด้านบน
7.จากนั้นใส่น้ำมันเซ็ตผมให้อยู่ทรงอีกครั้ง

เคล็ดลับความสุข หาได้ง่ายๆ ไม่เกินไขว่คว้า


1.รู้ว่า “สิ่งใดควรอยากได้” ไม่ควรอยากได้อะไรที่เกินกำลังของตัวเอง
2.ลงทุนกับประสบการณ์…มิใช่สิ่งของ สิ่งของสามารถกาซื้อได้ด้วยเงิน แต่ประสบการณ์ หาซื้อได้เงินไม่
3.ลงมือสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะมีค่ามากขึ้น เมื่อเราลงมือทำเอง เช่น การ์ดทำมือ กับการ์ดซื้อ รับรองว่า คนรับจะดีใจที่ได้รับการ์ด ทำมือ มากกว่าแน่นอน
4.เก็บเซอร์ไพรส์ให้ตัวเองบ้าง
5.ปล่อยใจให้ล่องลอย มีฝันกลางวันบ้าง ก็ไม่ผิดใช่ไหมคะ
6.เปลี่ยนชีวิตทีละเล็กทีละน้อย
7.ดีพอ…ดีแล้ว มีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมือความสุข ในแต่ละวัน
8.รู้จัก “วาง” รู้จักปล่อยวางบ้าง ชีวิตเราก็มีแค่นี้ อย่ายึดตึดมากนักเลยค่ะ
ความสุขหาได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ^-^

ลิงก์ผู้สนับสนุน
» เว็บที่เราอ่านมา

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อลังการเจดีย์ 500 ยอด ณ วัดป่าสว่างบุญ


วัดนอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยพุทธแล้ว วัดหลายๆแห่งยังเป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ดังเช่นวัดป่าสว่างบุญ แห่ง ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

วัดแห่งนี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528 โดย หลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน บนเนื้อที่ กว่า 400 ไร่ ซึ่งท่านได้พลิกฟื้นพื้นที่เขาหัวโล้นอันแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อยอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เหมาะต่อการปฏิบัติธรรมมาก

สำหรับสิ่งน่าสนใจที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของวัดป่าสว่างบุญก็คือ "พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ" ที่ประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสมชายทั้งในสระบุรีและจังหวัดอื่นๆได้พร้อมใจกันสร้างในปี พ.ศ. 2548 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2550

พระมหารัตนโลหะเจดีย์ฯ มีความโดดเด่นสวยงามแปลกตากว่าเจดีย์ทั่วไปตรงที่มียอดถึง 500 ยอด จนหลายๆคนพากันเรียกขานเจดีย์แห่งนี้ใหม่ว่า "มหาเจดีย์ 500 ยอด" หรือ"เจดีย์ 500 ยอด"

เจดีย์แห่งนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร จำนวน 9 ชั้น มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีองค์เจดีย์รายองค์เล็กตั้งลดหลั่นกันลงมาอยู่รอบๆทิศ โดยมีซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุมทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบสวยงามประณีตเคลือบสีทองทั้งหมดทุกองค์

ในเจดีย์องค์ใหญ่ครอบองค์เจดีย์องค์เล็กภายในพระบรมสารีริกธาตุไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ปูนปั้นประดับกระจกทับทิมโดยอย่างสวยงาม ส่วนตามฝาผนังน่าชมไปด้วยงานประดับกระจกสีจำลองพระธาตุสำคัญๆของเมืองไทยและงานศิลปะอินเดียลวดลายต่างๆ ในขณะที่ภายในยอดของเจดีย์รายนั้นก็ได้อัญเชิญบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากที่ต่างๆมาบรรจุไว้ภายใน

นอกจากเจดีย์ 500 ยอดแล้ว วัดป่าสว่างบุญยังมีสิ่งน่าสนใจ อาทิ พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 องค์ พระอุโบสถ อาศรมรูปทรงสถูปดับขันธ์ปรินิพาน พระสัจจะเจดีย์ รวมถึงพระพุทธรูปที่มีความโดดเด่นทั้งพุทธลักษณะและวัสดุการก่อสร้างจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินปางปรินิพพานยาว 10.59 เมตรที่สร้างด้วยหินชิ้นเดียวใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พระพุทธมหาทานสว่างบุญ ปางเชียงแสนหนึ่ง หน้าตักกว้าง 109 นิ้ว ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พระพุทธรูปแกะหินหนัก 30 ตัน พระยืนบนเขา พระหินทราย เป็นต้น



วัดนอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยพุทธแล้ว วัดหลายๆแห่งยังเป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ดังเช่นวัดป่าสว่างบุญ แห่ง ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

วัดแห่งนี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528 โดย หลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน บนเนื้อที่ กว่า 400 ไร่ ซึ่งท่านได้พลิกฟื้นพื้นที่เขาหัวโล้นอันแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้ใหญ่น้อยอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เหมาะต่อการปฏิบัติธรรมมาก

สำหรับสิ่งน่าสนใจที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของวัดป่าสว่างบุญก็คือ "พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ" ที่ประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อสมชายทั้งในสระบุรีและจังหวัดอื่นๆได้พร้อมใจกันสร้างในปี พ.ศ. 2548 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2550

พระมหารัตนโลหะเจดีย์ฯ มีความโดดเด่นสวยงามแปลกตากว่าเจดีย์ทั่วไปตรงที่มียอดถึง 500 ยอด จนหลายๆคนพากันเรียกขานเจดีย์แห่งนี้ใหม่ว่า "มหาเจดีย์ 500 ยอด" หรือ"เจดีย์ 500 ยอด"

เจดีย์แห่งนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร จำนวน 9 ชั้น มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีองค์เจดีย์รายองค์เล็กตั้งลดหลั่นกันลงมาอยู่รอบๆทิศ โดยมีซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุมทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบสวยงามประณีตเคลือบสีทองทั้งหมดทุกองค์

ในเจดีย์องค์ใหญ่ครอบองค์เจดีย์องค์เล็กภายในพระบรมสารีริกธาตุไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ปูนปั้นประดับกระจกทับทิมโดยอย่างสวยงาม ส่วนตามฝาผนังน่าชมไปด้วยงานประดับกระจกสีจำลองพระธาตุสำคัญๆของเมืองไทยและงานศิลปะอินเดียลวดลายต่างๆ ในขณะที่ภายในยอดของเจดีย์รายนั้นก็ได้อัญเชิญบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากที่ต่างๆมาบรรจุไว้ภายใน

นอกจากเจดีย์ 500 ยอดแล้ว วัดป่าสว่างบุญยังมีสิ่งน่าสนใจ อาทิ พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 องค์ พระอุโบสถ อาศรมรูปทรงสถูปดับขันธ์ปรินิพาน พระสัจจะเจดีย์ รวมถึงพระพุทธรูปที่มีความโดดเด่นทั้งพุทธลักษณะและวัสดุการก่อสร้างจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินปางปรินิพพานยาว 10.59 เมตรที่สร้างด้วยหินชิ้นเดียวใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พระพุทธมหาทานสว่างบุญ ปางเชียงแสนหนึ่ง หน้าตักกว้าง 109 นิ้ว ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พระพุทธรูปแกะหินหนัก 30 ตัน พระยืนบนเขา พระหินทราย เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านั้น วัดป่าสว่างบุญยังมีโครงการที่จะสร้าง "พระพุทธสีหไสน์ยาสน์" ในรูปแบบศิลปะอินเดีย ยาว 145 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

อย่างไรก็ตามแม้วัดป่าสว่างบุญจะมากมายไปด้วยสิ่งชวนชม ชวนสักการะบูชา แต่วัดแห่งนี้ก็ไม่เคยลืมกิจวัตรของสงฆ์และการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างเช่น การปฏิบัติธรรม การฝึกสมาธิ โดยคงไว้ซึ่งความสงบร่มรื่นเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในการขัดเกลาจิตใจของผู้ที่มาเข้าวัดให้สงบร่มเย็นนั่นเอง

กาฬสินธุ์พบอีกพันธุ์ไดโนเสาร์กินพืชอายุกว่า 150 ล้านปี


อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีเผยผลการขุดค้นซากฟอสซิลที่ภูน้อย กาฬสินธุ์ พบไดโนเสาร์กินพืชสกุลใหม่ของโลกอายุกว่า 150 ล้านปี โดยมีชื้นส่วนที่ขุดพบกว่า 400 ชิ้น และยังพบซากฟอสซิสจรเข้ เต่าดึกดำบรรพ์ที่สมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เตรียมพัฒนาเป็นแหล่งศึกษาวิจัยด้านบรรพชีวินต่อไป

เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้( 18 ส.ค.) ที่ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์สิรินธร ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ นางพรทิพย์ ปั่นเจริญ อธิบดีกรมทรัยพยากรธรณี พร้อมคณะ ร่วมกันเปิดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ พร้อมกับนำชมห้องวิจัยซากดึกดำบรรพ์ และแถลงผลการขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ที่ภูน้อย อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งคณะนักวิจัยนำโดย ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้เชี่ยวชาญด้านซากดึกดำบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี ได้ทำการเปิดหลุมขุดค้นตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา

นางพรทิพย์กล่าวว่า ซากฟอสซิสไดโนเสาร์ที่พบยังภูน้อย อ.คำม่วง ปัจจุบันพบมากกว่า 400 ชิ้นมีมากกว่า 3 ตัวในหลุมเดียวกัน ในรูปแบบที่คล้ายกันที่ภูกุ้มข้าว อ.สหัขันธ์ เป็นพันธุ์กินพืชชนิดใหม่แต่มีขนาดใหญ่กว่า อยู่ในยุคจูราสซิกตอนต้นอายุราว 150 ล้านปี หลักฐานชิ้นสำคัญนักวิจัยได้พบคือกระดูกฟันกรามขนาดยาวเกือบ 50 ซม. และฟัน 3-4 ซี่ เมื่อนำมาเปรียบเทียบก็ไม่พบว่าตรงกับสกุลใดในโลก นักวิจัยไทยจึงมีความมั่นใจว่าจะเป็นสกุลและสายพันธุ์ใหม่ของโลก ในการส่งเสริมต่อไปจะทำการสร้างอาคารคลุมหลุม และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไม่ลักขโมยซากดึกดำบรรพ์ด้วย

อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีกล่าวต่อว่า ภายหลังจากการสำรวจยาวนานกว่า 7 เดือนจนขณะนี้พบว่าในชั้นหินเดียวกันกับที่พบฟอสซิลไดโนเสาร์ นักวิจัยยังพบซากฟอสซิสของกระดูกสันหลัง เขี้ยว กระโหลกของจระเข้ และกระดองเต่ากว่า 30 ชิ้น ที่มีความสมูบรณ์และถือว่าเป็นการค้นพบใหม่ เนื่องจากมีคำนวณจากอายุแล้วพบว่ามีความเก่าแก่กว่าที่เคยพบมาก่อน กำลังดำเนินการส่งชิ้นส่วนไปตรวจสอบว่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่อีกหรือไม่ และเชื่อว่าในบริเวณพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์อาจจะเป็นแหล่งรวมซากดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

สำหรับการดำเนินการขุดค้นซากฟอสซิลโดโนเสาร์ที่ภูน้อยก่อนหน้านี้ได้ทำการขุดค้นพบแล้ว 200 ชิ้น ประกอบด้วย กระดูกสันหลัง กระดูกนิ้วเท้า กระดูกซี่โครง กระดูกหน้าแข้ง กระดูกขาหน้า โดยเฉพาะกระดูกสะโพกที่มีขนาดความยาว 150 ซม. กว้าง 50 ซม.ที่ทำให้เชื่อว่าซากฟอสซิลที่พบจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ หลุมขุดค้นเริ่มที่จะสัมพันธ์กับหลุมขุดค้นในบริเวณเดียวกันจนทำให้เชื่อว่าซากฟอสซิลไดโนเสาร์ที่พบน่าจะมีความยาวกว่า 25 เมตร

ผลการขุดค้นในปัจจุบันจึงมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เพราะนักวิจัยได้รวบรวมซากฟอสซิลได้มากกว่า 400 ชิ้น แต่ในจำนวนนี้พบว่าซากที่พบบางชิ้นมีความสมบูรณ์บางชิ้นแตกละเอียด เมื่อนำมาวิจัยก็พบว่า ในหลุมขุดค้นเป็นซากฟอสซิลที่มีมากกว่า 2 ตัวและมีลักษณะนอนทับถมกันคล้ายกับซากฟอสซิลของภูกุ้มข้าว แต่สิ่งที่นับว่าพิเศษสุด นักวิจัยได้ขุดค้นพบชิ้นส่วนของหัวกะโหลกขนาดความยาวเกือบ 50 ซม. กับฟันจำนวน 3-4 ซี่ และด้วยขนาดที่มีความใหญ่ เมื่อเสาะหาแหล่งที่มาก็ยังไม่พบว่าไปตรงกับสายพันธุ์กินพืชที่ใดในโลก จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าซากฟอสซิลที่พบบริเวณภูน้อยเป็นซากฟอสซิลชนิดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทุ่งดอกกระเจียวอุทยานแห่งชาติไทรทอง


"ชัยภูมิเมืองผู้กล้า พญาแล"

ชัยภูมิ มีอารยธรรมมาตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยขอม จนถึงอิทธิพลลาวล้านช้าง ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏชื่อในฐานะเป็นหน้าด่าน และร้างลาไปในภายหลัง ต่อมาปรากฏชื่ออีกครั้งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย มีชาวเวียงจันทน์เข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองในบริเวณที่เรียกว่าโนนน้ำอ้อม มีผู้นำชื่อ แล ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองคนแรกของชัยภูมิ ต่อมาเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ ก่อกบฏยกกองทัพเข้ามาตีเมืองนครราชสีมาและหัวเมืองรายทาง นายแลเจ้าเมืองชัยภูมิ ได้ยกไพร่พลไปสมทบกับกำลังของคุณหญิงโม ตีทัพของเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ แตกพ่ายไป สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี และให้นายแลเป็นพระยาภักดีชุมพล

ชัยภูมิเป็นดินแดนแห่งทุ่งดอกกระเจียว และสายน้ำตกชุ่มฉ่ำยามหน้าฝน มีเทือกเขาที่สำคัญได้แก่ ภูพังเหย ภูแลนคา ภูพญาฝ่อ อันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำชี แบ่งการปกครองเป็น 15 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอบ้านเขว้า อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอหนองบัวแดง อำเภอจัตุรัส อำเภอภูเขียว อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอบ้านแท่น อำเภอแก้งคร้อ อำเภอคอนสาร อำเภอเทพสถิต อำเภอหนองบัวระเหว อำเภอภักดีชุมพล อำเภอเนินสง่า และกิ่งอำเภอซับใหญ่

ชัยภูมิอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 342 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 12,778 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 15 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอบ้านเขว้า อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอหนองบัวแดง อำเภอจัตุรัส อำเภอภูเขียว อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอบ้านแท่น อำเภอแก้งคร้อ อำเภอคอนสาร อำเภอเทพสถิต อำเภอหนองบัวระเหว อำเภอภักดีชุมพล อำเภอเนินสง่า และกิ่งอำเภอซับใหญ่

อาณาเขต

ทิศเหนือ จดจังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดขอนแก่น
ทิศใต้ จดจังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันออก จดจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันตก จดจังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดลพบุรี

หลวงพ่อพระใส


หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมือง ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง

ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ในเขตเทศบาลเมือง ห่างจากตัวเมืองหนองคายไปประมาณ 2 กิโลเมตร ตามทาง หลวงหมายเลข 212 ทางไป อ.โพนพิสัย วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้อล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้วของช่างไม้

ประวัติการสร้าง
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือประวัติพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2468 ว่า หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง และตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระธิดา 3 องค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บางท่านก็ว่าเป็นพระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนาม พระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ด้วยว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ

การประดิษฐาน
เดิมทีนั้นหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรีได้อัญเชิญไปไว้ที่เมืองเวียงคำ และถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทน์อีก ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฎ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควายขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่นในขณะนั้น เกิดอัศจรรย์แท่นของพระสุกได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุพัดแรงจัด และบริเวณนั้นได้นามว่า "เวินแท่น"

การล่องแพก็ยังล่องมาตามลำดับจนถึงน้ำโขง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้เกิดพายุใหญ่ เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น ในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ ซึ่งอาการวิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปเป็นอัศจรรย์ยิ่ง บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า "เวินสุก" และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้

ก็ยังเหลือแต่พระเสริม พระใส ที่ได้นำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมนั้นได้ถูกอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใส ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัย หนองคายไปกรุงเทพฯ และอัญเชิญพระใสจากวัดหอก่องขึ้นประดิษฐานบนเกวียนจะอัญเชิญลงไปกรุงเทพฯ ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธื์ชัย หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมลงกรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อเกวียนหัก"

“พระมหาธาตุแก่นนคร” พระธาตุเก้าชั้นกลางเมืองขอนแก่น


องค์พระมหาธาตุแก่นนครงามโดดเด่นเป็นสง่า


ขอนแก่นเป็นอีกจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ ชื่อ “ขอนแก่น” สันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “ขามแก่น” เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งฟอสซิลไดโนเสาร์ที่อ.ภูเวียง เขื่อนขนาดใหญ่อย่างเขื่อนอุบลรัตน์ หรือหมู่บ้านงูโคกสง่า ก็สร้างชื่อเสียงจนโด่งดังไปทั่ว


พูดถึงวัดสำคัญๆก็มีมากมายอย่าง “วัดหนองแวง” เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีมานานคู่จังหวัดขอนแก่น แต่เดิมเรียกกันว่า “วัดเหนือ” เพราะว่าวัดหนองแวงตั้งอยู่เหนือทางน้ำไหล น้ำจะไหลจากโคกและทุ่งนาที่อยู่ใกล้ๆวัดลงไปสู่บึงบอน

หลังจากนั้นน้ำจะไหลออกจากบึงบอนผ่านวัดกลางและวัดธาตุ แล้วไหลมาสู่ลำหนองโคตร ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดศรีนวล ไหลต่อไปสู่ทุ่งสร้าง ผ่านวัดศรีจันทร์ และคุ้มหนองคู


ผู้สร้างวัดนี้คือ พระนครศรีบริรักษ์ เมื่อครั้งนำไพร่พลมาตั้งถิ่นฐาน จวบจนปัจจุบันก็มีอายุกว่า217ปีแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2539 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และมหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น ทางวัดได้สร้าง “พระมหาธาตุแก่นนคร” หรือ “พระธาตุเก้าชั้น”


เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก่ออิฐถือปูน มีเรือนยอดเป็นทรงเจดีย์ จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น บนยอดเจดีย์สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของบึงแก่นนครและเมืองขอนแก่นได้อย่างเด่นชัด

องค์พระธาตุแก่นนคร มีความสูง 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุม และมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน ซึ่งเป็นลักษณะแบบชาวอีสานตากแห ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ 9 ชั้น ด้านในปูพื้นด้วยหินอ่อน


ชั้นที่1 มีลักษณะเป็นหอประชุม มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่บนบุษบกตรงกลาง มีพระประธานประดิษฐานอยู่ 4 องค์ ตรงกลาง 3 องค์ ด้านข้างทางทิศใต้ 1 องค์ ต้นเสาเขียนลวดลายสีเบญจรงค์ลายกรวยเชิงดอกพุดตาน และดอกบัว ที่คานขื่อเขียนภาพเทพชุมนุม

ล้อมรอบเพดานเขียนภาพเทพพนมปีกค้างคาวดาวล้อมเดือน จตุเทพดารา ตรงบานประตูหน้าต่างแกะสลักเป็นนิทานเรื่องจำปาสี่ต้น โดยเฉพาะบานประตูใหญ่แกะสลักเป็นรูปแบบ 3 มิติ


เมื่อเดินขึ้นบันไดมาชั้นที่ 2 เป็นหอพัก มีของเก่าที่ทางวัดนำมาจัดแสดง บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์ ภาพนิทานเรื่องสังสินไช ในชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติ บานประตูหน้าต่างเขียนภาพนิทานเรื่อง นางผมหอม


ชั้นที่ 4 เป็นหอปฏิบัติธรรม ความโดดเด่นอยู่ที่บานประตูหน้าต่าง เขียนภาพพระประจำวัน เทพประจำทิศ ตัวพึ่งตัวเสวยไว้ และเมื่องขั้นมาถึง ชั้นที่ 5 ใช้เป็นหอพิพิธภัณฑ์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธประวัติ แกะสลักเป็นภาพ 1 มิติ


ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่อง เตมีย์ใบ้ แกะสลัก 1 มิติ และชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันตสาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่อง พระเวสสันดรชาดก แกะสลัก 1 มิติ


ส่วนชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรม รวบรวมพระคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา อาทิเช่น พระไตรปิฎก บานประตูหน้าต่าง แกะสลักพรหม 16 ชั้น ถึงชั้นที่ 9 แกะสลัก 3 มิติ


ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตรงกลางบุษบก บานประตูหน้าต่างแกะสลัก 3 มิติ รูปพระพรหม 16 ชั้น และเป็นหอชมวิวทิวทัศน์ตัวเมืองขอนแก่นทั้ง 4 ด้านระเบียงด้านทิศตะวันออกจะติดบึงแก่นนครสามารถออกมายืนรับลมชมทิวทัศน์เมืองได้สวยงามเป็นอย่างยิ่ง


ใครผ่านมาเยือนขอนแก่นก็แวะมาสักการะกันได้เพราะอยู่ในตัวเมืองนี่เอง วัดตั้งอยู่ที่ ถนนกลางเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เปิดให้ เข้าชมตลอด จนถึง 18.00 น.โทร.0-4322-1664,0-4322-2479,0-4322-4479

เที่ยวเมืองเลย

ผู้ว่าฯเมืองเลย ชู 10 สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆโปรโมตเทศกาลเที่ยวเมืองเลย ระบุเลยนอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีวัดวาอารามและวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

มานิตย์ มกรพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เปิดเผยว่า เลยเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย และมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 18-20 องศาเซลเซียส นอกจากนี้เลยยังมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีวัดวาอารามที่น่าสนใจ รวมถึงมีเทศกาลงานประเพณีที่ขึ้นชื่อ อาทิ ประเพณีผีตาโขน งานไม้ดอกเมืองหนาวภูเรือ งานดอกฝ้ายบานเมืองเลย

“ในเทศกาลท่องเที่ยวเมืองเลยฤดูกาลนี้ (50-51) สำหรับผู้ที่มาเที่ยวเมืองเลย ทางจังหวัดขอแนะนำ 10 สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆของเมืองเลยที่ควรไปเที่ยวชม เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว ”

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 10 แห่งที่ผู้ว่าฯเมืองเลยระบุว่าควรไปเที่ยวชม มีดังนี้



1.ภูกระดึง
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมตลอดกาลของเลย บนภูกระดึงมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย อาทิ ทุ่งหญ้าป่าสน ป่าดิบ ดอกไม้ กล้วยไม้ ใบเมเปิ้ลแดง น้ำตกและหน้าผาชมวิว มีผาที่ดังๆอย่าง ผาหล่มสัก ผานกแอ่น เป็นต้น ล่าสุดเพิ่งได้รับตำแหน่งแชมป์ 10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในดวงใจ โดยการโหวตจากผู้อ่านอนุสาร อ.ส.ท.



2.ภูเรือ(อ.ภูเรือ)
ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่าหนาวสุดแดนสยาม ภูเรือมีอุทยานแห่งชาติภูเรือ ความหนาวเย็น เส้นทางสายดอกไม้ ธรรมชาติอันสวยงาม เป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยวในดินแดนแห่งนี้



3.ภูหลวง(เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า) อ.ภูหลวง
เป็นดินแดนแห่งพันธุ์ไม้ ที่ทีดอกไม้กล้วยไม้ป่าให้ชมมากมาย อาทิ รองเท้านารีอินทนนท์ กล้วยไม้ป่าดอกขาว เอื้องตาเหิน กุหลาบขาว-แดง



4.แก่งคุดคู้ อ.เชียงคาน
เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ขวางลำน้ำโขง กระแสน้ำไหลเชี่ยวแรง มีบริการเช่าเรือชมล่องชมแก่โดยช่วงที่เหมาะต่อการเที่ยวแก่งคือเดือน ก.พ.-พ.ค.



5. พระธาตุศรีสองรัก อ.ด่านซ้าย
พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเลย สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือกันระหว่างกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุต(ลาว)



6.สวนหินผางาม กิ่งอ.หนองหิน
เป็นสวนหินปูนอายุประมาณ 230-280 ล้านปี มีทัศนียภาพสวยงาม มากไปด้วยหินรูปทรงแปลกตาคล้ายที่คุนหมิงเมืองจีน จนได้รับการเรียกขานว่าเป็น“คุนหมิงเมืองไทย” หรือ “คุนหมิงเมืองเลย” นอกจากนี้สวนหินผางามยังเป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย



7. สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำเหืองไทย-ลาว อ.ท่าลี่
ที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวเชื่อมโยงเมืองแก่นท้าว แขวงไชยละบูลี(ไชยบุรี) สปป.ลาวได้




8.อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย(อช.นาแห้วเดิม)
มีภูมิประเทศเป็นขุนเขาสลับซับซ้อน มีสถานที่ชวนเที่ยวชม อาทิ น้ำตกคิ้ง น้ำตกช้างตก หินสี่ทิศ จุดชมวิว เนิน 1408 เป็นต้น



9.พระธาตุสัจจะ อ.ท่าลี่
มีลักษณะคล้ายพระธาตุพนม เป็นหนึ่งในพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเลยให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก



10.สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ อ.ภูเรือ
เป็นค้นคว้าทดลองไม้ดอกไม้ผลทั้งของเมืองหนาว แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมไม้ความสวยงามของไม้เมืองหนาวในสถานีฯได้

ด้านเศรษฐพันธ์ พุทธานี ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 5 เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลเที่ยวเมืองเลยทางผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในจังหวัดเลยและภูมิภาคอื่นๆจะมีแพ็คเกจพิเศษ โปรโมชั่น และส่วนลดต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเมืองเลยกันตลอดทั้งปี โดยจากความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเลย ทำให้ปีที่แล้ว จังหวัดเลยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 870,071 คน มีรายได้จากการท่องเที่ยว 1,113.22 ล้านบาท

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม


สถานที่ตั้ง

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เป็นอุทยานทางทะเลมีพื้นที่ครอบคลุมเกาะในทะเลตรัง ได้แก่
เกาะมุก เกาะกระดาน เกาะแหวน เกาะเชือก เกาะปลิง และเกาะเม็ง มีพื้นที่ตลอดแนวชายฝั่งทะเลระหว่างอำเภอสิเกาถึงอำเภอกันตัง ตั้งแต่หาดปากเม็ง หาดฉางหลาง หาดยาว และหาดเจ้าไหม







สิ่งดึงดูดใจ

๑.ถ้ำมรกตและดำน้ำลึกชมปะการังอ่อนของเกาะมุก เกาะมุกมีถ้ำมรกตอยู่ทางผาหินด้านใต้ บริเวณแหลมหินด้านเหนือ มีปะการังอ่อนใต้ทะเลที่สวยงามขึ้นอยู่หนาแน่นหลากสีทั้งสีชมพูอ่อน แดง ม่วง เหลือง และสีขาวขึ้นแซมจนลานตา มีกัลปังหาสีส้มสดใสขึ้นอยู่เป็นกอตามผาหิน นักดำน้ำชมปะการังจะพบความงามของปะการังผักกาดอย่างจุใจ มีปลาสวยงาม

ส่วนการชมถ้ำมรกตจะต้องว่ายน้ำลอดถ้ำภายในลึกประมาณ ๘๐ เมตร จะทะลุด้านในซึ่งมีชายหาดกลางหุบเขา ตามผนังถ้ำมีหินงอกหินย้อยประดับสวยงาม ชายหาดในถ้ำมรกตเงียบสงบ น้ำทะเลใสสะอาดเป็นสีเขียวตองอ่อน ท้องฟ้าสีครามปกคลุมด้วยร่มของใบไม้เขียวครึ้ม เวลาลอดออกปากถ้ำจะเห็นแสงส่องลอดพื้นน้ำทะเลจะมองเห็นน้ำทะเลปากถ้ำเป็นสีเขียวมรกตงดงามประทับใจยิ่ง

๒.ปะการังน้ำตื้นที่เกาะกระดาน บริเวณชายหาดด้านใต้ของเกาะมีปะการังน้ำตื้นอยู่ใกล้ฝั่ง เวลาน้ำลด นักท่องเที่ยวสามารถเดินดูปะการังตามชายหาดซึ่งเต็มไปด้วยปะการังเขากวาง ประการังจาน ประการังดอกเห็ด ปะการังผักกาด ปะการังสมอง โดยเฉพาะปะการังเขากวางมีมากที่สุด และยังมีปลิงทะเล
หลากสี ปลาดาวหนามแดง ดอกไม้ทะเล สาหร่ายทะเลนานาชนิด โลกใต้ทะเลจะปรากฏบนผิวน้ำในเวลาน้ำลงเต็มที่





๓.ดำน้ำตื้นชมปะการังอ่อนที่เกาะเชือก โดยเฉพาะเกาะเชือกไม่มีชายหาดสำหรับเล่นน้ำ แต่เหมาะที่จะดำน้ำตื้นชมปะการังอ่อนที่สวยงาม แต่มีกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรงจึงต้องระมัดระวังมาก นักดำน้ำจึงต้องเกาะเชือกเพื่อความปลอดภัยในการชมปะการัง

๔.ถ้ำเจ้าไหม จากคลองเจ้าไหมถึงบ้านมดตะนอย แล้วแยกไปทางเขาสูงในดงป่าโกงกางจะมีทางเข้าถ้ำเจ้าไหม ซึ่งเป็นถ้ำโบราณมี ๒ คูหา คือถ้ำล่างและถ้ำบน ภายในมีทางเลียบผนังถ้ำไปสู่โพรงถ้ำใหญ่ที่สวยงามด้วยโขดหินงอกหินย้อย ถ้ำชั้นบนตามผนังลักษณะเหมือนเปลือกหอยซ้อนเป็นชั้น ๆ

๕.หาดเจ้าไหม มีหาดทรายขาว ยาว ๕ กิโลเมตร ทิวสนทะเลเรียงรายร่มรื่นเป็นแนวยาวถึงเขาหยงหลิง และเขาโต๊ะแนะที่มีปลายแหลมยื่นออกไปในทะเล มีโขดหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกๆ ให้ชม ทิวทัศน์สวยงามเหมาะสำหรับเล่นน้ำเพราะน้ำตื้นและบริเวณกว้าง

๖.หาดฉางหลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หาดทรายเป็นหาดเปลือกหอย ทอดยาวถึงคลองปากเม็ง บนหาดมีเปลือกหอยเจดีย์ กองเปลือกหอยเรียงรายยามน้ำลด เป็นสันทรายเปลือกหอยที่สวยงามสลับอยู่ในดงสนทะเล





สิ่งอำนวยความสะดวกในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม

๑.ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
อยู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งมีข้อมูลให้บริการ มีศาลาพักผ่อน ห้องน้ำ และจุดกางเต็นท์ไว้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการพักแรม

๒.ที่พักเกาะที่มีรีสอร์ทไว้บริการ
ได้แก่ เกาะกระดาน (เกาะกระดานรีสอร์ท) และเกาะมุก (เกาะมุกรีสอร์ท



๓.ท่าเรือ
ลงเรือได้ที่ท่าเรือปากเม็ง ซึ่งจะเป็นเรือของรีสอร์ทต่างๆ หรือติดต่อล่วงหน้ากับบริษัทนำเที่ยว ซึ่งจะมีโปรแกรมไว้ให้เลือกแบบวันเดียว เล่นน้ำที่เกาะกระดาน ว่ายน้ำลอดชมถ้ำมรกต ชมปะการังที่เกาะเชือกเกาะมุก หรือโปรแกรมแบบ ๒ วัน ๑ คืน สัมผัสบรรยากาศทะเลนอนพักบนเกาะ หรือโปรแกรม ๓ วัน ๒ คืน จะได้พักผ่อนตามอัธยาศัยเรือที่นำไปยังเกาะต่าง ๆ จะจัดโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมีเสื้อชูชีพและอุปกรณ์สน๊อกเกิลสำหรับทุกคน มีมัคคุเทศก์ชำนาญพื้นที่ สามารถว่ายพาชมถ้ำและปะการังใต้น้ำได้

๔.ฤดูกาลที่เหมาะสมกับการท่องเที่ยวทางทะเลตรัง
เริ่มจากปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม




เส้นทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม

อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม อยู่ในเขตอำเภอสิเกาและกันตัง ห่างจากตัวเมืองตรัง ๔๗ กิโลเมตร

เกาะกระดานอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ ๒๐ กิโลเมตร เดินทางจากท่าเรือกันตัง ใช้เวลา ๒-๓ ชั่วโมงก็ถึงเกาะ ระยะทางจากเกาะสู่เกาะ เช่น เกาะกระดาน เกาะมุก เกาะเชือก ระยะทางไม่ห่างกันมากนักสามารถนั่งเรือเที่ยวได้ในวันเดียว

หรือจากท่าเรือปากเม็งใช้เวลาเดินทางไปเกาะมุกประมาณ ๔๐ นาที หรือเดินทางจากท่าเรือควนตุ้งกู มีเรือออกตอนเที่ยงทุกวัน

ที่มา http://www.trangview.com/index.php?topic=28.0

คนจนผู้ยิ่งใหญ่


"อภิรักต์ แซ่ฮ้อ" หรือ ตี๋ ชายหนุ่มวัย 33 ปี เขาไม่ใช่คนรวย หรือมีชื่อเสียง
มาจากไหน เขาเป็นเพียงคนจนๆ แต่งตัวมอซอๆ คนหนึ่ง ที่ดูลักษณะภายนอกอาจ
ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไปเท่าไรนัก "อภิรักต์" อาศัยอยู่ในแฟลต 8 ชั้นกับแม่ และประกอบอาชีพด้วยการเก็บเศษขยะตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ละวันเขาจะตระเวนเก็บขยะ และ
นำมาคัดแยก ก่อนจะนำขยะที่ได้ไปขาย ซึ่งก็จะได้เงินมาวันละประมาณ 50-100 บาท

แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่ได้เงินมา "อภิรักต์" จะแบ่ง
เงินส่วนหนึ่งให้แม่ได้ใช้ และเก็บไว้อีก 20 บาท และนำไปฝากธนาคาร เพื่อสะสมที
ละเล็กทีละน้อย นำมาเป็นค่าผ่าตัดหัวใจให้กับแม่ ที่ป่วยเป็นโรคหลายโรค ทั้ง
ความดัน เบาหวาน เก๊า และโรคหัวใจ

"อภิรักต์"เล่าว่า สมัยที่เป็นเด็กชายเรียนชั้น ป.1 ครูของเขาเป็นคนแนะนำให้
"อภิรักต์" เก็บออมวันละบาท พอปลายเดือนเก็บเงินได้มากแล้ว ครูจะพาไปฝากเงินที่ธนาคาร ซึ่งคำแนะนำของครูนั้น อภิรักต์ก็ได้ปฏิบัติมาเรื่อยๆ ทุกๆ วัน เขาจะนำเงิน
20 บาท ไปฝากธนาคาร จนปัจจุบันเป็นเวลา 16 ปีแล้ว "อภิรักต์" มีเงินเก็บ
มากกว่า 4 หมื่นบาท

ความซื่อและความกตัญญูของ "อภิรักต์" ทำให้ผู้คนที่อยู่ในเส้นทางที่ "อภิรักต์" ตระเวน
เก็บขยะ ต่างเอ็นดู พร้อมกับเรียกให้เขาและรถเข็นคู่ใจ เข้ามารับสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นกล่องกระดาษ ขวดน้ำ เพื่อนำไปขาย โดย "อภิรักต์" จะนำสิ่งของเหล่านี้
เข้ามากองคัดแยกในห้องพัก จนห้องดูรกรุงรังไปหมด และมีส่วนให้เขาเป็นโรคหืดหอบ
แต่ "อภิรักต์" ก็มีความสุขในแบบของเขา โดยมีแม่อยู่เคียงข้าง

อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ "อภิรักต์" ไม่ต้องอยู่ในห้องที่รกรุงรังอีกต่อไปแล้ว เพราะ
ทางรายการตีสิบได้จัดการปรับโฉมห้องให้ "อภิรักต์" ใหม่ จนดูสวยงาม และมีสุขอนามัย
ที่ดี เรียกได้ว่า แทบจำเค้าโครงห้องเดิมไม่ได้เลย ซึ่งก็ทำให้ "อภิรักต์" และแม่ดีใจมาก

และหลังจากรายการตีสิบได้นำเสนอเรื่องราวของ อภิรักต์ แซ่ฮ้อ อยู่บ่อยครั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา อภิรักต์ ก็ได้มาออกรายการเพื่อเล่า
เรื่องราวที่ผ่านมาให้ฟัง ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา
มีข่าวลือว่า อภิรักต์ เพราะถูกยิงที่บ่อนไก่ ซึ่งใกล้กับบ้านของเขา อภิรักต์ จึงเล่า
ให้ฟังว่า คนที่ถูกยิงจริง ๆ คือ ตี๋ คลองเตย ซึ่งชื่อ ตี๋ เป็นชื่อเล่นเดียวกันกับ
เขา ทำให้คนเข้าใจผิดไปนั่นเอง

แม้ อภิรักต์ จะมีคนรู้จักมากขึ้น ได้รางวัล และกำลังจะมีผลงาน
ภาพยนตร์ แต่ อภิรักต์ ก็ยังมีชีวิตเหมือนเดิม เป็นคน ๆ เดิม คงทำหน้าที่
เดินเก็บขยะพร้อมรถเข็นคู่ใจอย่างไม่ย่อท้อต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาเงิน
ทุกบาททุกสตางค์ฝากไว้ที่ธนาคาร และโชคดีที่มีหลาย ๆ คนรู้จักเขา เรียกเขาไป
เก็บขยะที่บ้าน โดยไม่ต้องไปคุ้ยหาตามถังขยะให้ยากขึ้น



ความมุมานะของ อภิรักต์ ในการเข็นรถขยะหาเงินทุกบาททุกสตางค์ให้แม่ ทำให้
เขาได้รับการคัดเลือกเป็นลูกกตัญญู จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
โดยเข้ารับประทานโล่เกียรติคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี
พระวรราชาทินัดดามาตุ ในวันแม่แห่งชาติประจำปี 2553 ที่ผ่านมาด้วย

แถมล่าสุด อภิรักต์ แซ่ฮ้อ กำลังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกของชีวิต ในชื่อเรื่อง "ยายสั่งมาใหญ่" จากผลงานการกำกับของ นุ้ย เชิญยิ้ม ที่เขา
จะได้ประกบตลกชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย ซึ่งทุกคนก็เอ็นดู อภิรักต์ มากเลยทีเดียว

เห็นเรื่องราวของ "อภิรักต์ แซ่ฮ้อ" หนุ่มเก็บขยะคนซื่อคนนี้แล้ว คงอดอมยิ้มและ
ประทับใจตามไปด้วยไม่ได้ นี่แหละคือคนจนผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่ และยึดความกตัญญู
เป็นทางเดินของชีวิต คนธรรมดา ๆ ปกติบางคน เห็นแล้วอาจต้องอายตาม
"อภิรักต์" เลยล่ะ

เปิดแล้ว! โรงแรม “ล้านดาว” แห่งแรกในโลก


เปิดแล้ว! โรงแรม “ล้านดาว” แห่งแรกในโลก นอกเมือง “บาด คิซซิงเก้น (Bad Kissingen)” รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งข้าวสาลีและทุ่งข้าวโพด อีกทั้งยังไม่ใช่โรงแรมหรูอย่างที่หลายคนคิด เพราะมีเพียงเตียง ผ้าห่มฟาง ส้วมหลุม และทัศนียภาพงามๆ ของดวงดาวนับล้านในยามค่ำคืนไว้คอยบริการเท่านั้น



ต้องบอกว่าอะไรก็เป็นไปได้ในโลกนี้ ขอแค่มีไอเดีย กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่หลายคนไม่กล้าหรือนึกไม่ถึง ก็อาจนำมาซึ่งความสำเร็จเหมือนอย่างนางโมนิก้า ฟริตซ์ ชาวเยอรมันวัย 42 ปี ที่ไถทุ่งข้าวสาลีให้เป็นรูปอาคารแทนการสร้างตัวโรงแรม หลังจากนั้น ก็นำเตียงมาตั้งภายในกรอบที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งขุดหลุมสำหรับก่อไฟและใช้เป็นห้องสุขา (ที่ไม่มีผนังและหลังคา) ส่งผลให้แขกผู้มาเยือนสามารถนอนตากลม ห่มฟ้า และดูดาวนับล้านๆ ดวง ได้แบบไม่มีอะไรมาคั่นสายตา



แม้โรงแรมเปิดใหม่แห่งนี้จะถูกเรียกว่า “โรงแรมล้านดาว” เพื่อดึงดูด
นักท่องเที่ยว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้นั้น
ค่อนข้างจำกัด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติ ชอบความเรียบง่าย
และติดดินอย่างแท้จริง เพราะนอกจากเตียงและฟางข้าวแล้ว
สิ่งที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ก็มีเพียงหลุมสำหรับติดไฟประกอบอาหาร
และสร้างความอบอุ่น ในขณะที่ส้วมก็ตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่ง
โดยมีเพียงทุ่งข้าวช่วยบดบังสายตา



หลายคนที่ทราบข่าวต่างพากันสงสัยและมึนงง ว่าสถานที่แบบนี้เรียกว่า
โรงแรม “ล้านดาว” ได้อย่างไร ซึ่งทางเจ้าของอธิบายว่า แม้สิ่งอำนวยความสะดวก
ภายในโรงแรมแห่งนี้จะมีจำกัด และไม่หรูหราสะดวกสบายเหมือนการเข้าพัก
ในโรงแรมทั่วไป แต่รับรองได้ว่าทัศนียภาพยามค่ำคืนของที่นี่ “สวยตะลึง”
และคุ้มค่ากับการมาเยือนอย่างแน่นอน แถมอากาศก็บริสุทธิ์ สดชื่น
นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบยังไม่มีไฟฟ้า ทำให้มองเห็นดวงดาวนับล้านได้อย่างชัดเจน




สำหรับอัตราค่าเข้าพักภายในโรงแรมแห่งนี้อยู่ที่คืนละ 3-7 ยูโร (ราว 121-283 บาท) โดยฤดูที่เหมาะแก่การเข้าพักมากที่สุดก็คือ ช่วงฤดูร้อน เพราะกลางคืนอากาศเย็นสบาย ไม่หนาวมาก แต่ฤดูดังกล่าวมีระยะเวลาที่สั้นมากๆ เพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น (หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว)


เห็นเป็นโรงแรมง่ายๆ แทบไม่ลงทุนอย่างนี้ ขอบอกว่ามียอดจองจากนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วประมาณ 400 ราย โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ถูกจองจนเต็มล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว



หมายเหตุ:

นอกจากโรงแรมแห่งนี้แล้ว ที่เยอรมนียังมีโรงแรมอีกแห่งที่ให้แขกผู้มาเยือนนอนกลางตากลม ห่มฟ้า (ในสวนหลังบ้าน) แต่มีความสะดวกสบายมากกว่า ซึ่งจะนำมารายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป

“ผู้หญิง 3 แบบที่คุณอาจไม่เข้าใจ”


หลายครั้งที่ผู้หญิงมักแสดงอาการแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ โดย เฉพาะในยามที่รู้สึกไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรัก เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงรู้สึกว่าคนรักของตนเปลี่ยนแปลงไป โดยสงสัยว่าอาจจะมีใครอีกคนเข้ามาทำให้เค้าเปลี่ยนไป การแสดงออกของแต่ละคนจะแตกต่างกัน

แบบที่ 1 ระเบิดอารมณ์

ผู้หญิง แบบนี้มักจะเก็บอารมณ์ไม่ค่อยได้ จะต้องซักถามเอาคำตอบทันที บางรายจะชวนทะเลาะ แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และคาดคั้นเอาคำตอบ พูดกันจนกว่าจะเคลียร์ ถ้าหากพูดกันไม่จบก็อาจจะมีการไปราวีบุคคลที่ 3 หรือกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา (ประเภทแฟนข้าใครอย่าแหยม แต่ถ้าข้าไม่ได้ ใครก็อย่าหวังจะได้เลย เอากันให้ตายไปข้าง)

แบบที่ 2 คิดมากและน้อยใจคนเดียว

ผู้หญิง แบบนี้มักจะเป็นคนคิดมาก และแอบน้อยใจคนเดียว จนกลายเป็นไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตนเองไร้ความสำคัญ หรืออีกฝ่ายหมดรักตัวเองแล้ว มักจะไม่แสดงออกโดยตรง แต่จะมาในรูปของการงอน เงียบ หลบหน้าหลบตา ไม่รับโทรศัพท์ หรือขาดการติดต่อ แต่จะไม่ตีโพยตีพาย บางรายหากแน่ใจว่าคนรักไม่รักตนอีกแล้วก็จะตัดใจและจากไปเงียบๆ โดยไม่มีคำร่ำลา (เพราะทำใจไม่ได้และเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกัน หากเค้าหมดรักก็ไม่อยากที่จะรั้งเอาไว้ เพราะมีแต่จะเสียใจไปเปล่า ๆ)

แบบที่ 3 ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผู้หญิง แบบนี้ จะไม่ตีโพยตีพายตั้งแต่แรก แต่จะคอยสังเกตพฤติกรรมเงียบ ๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เมื่อพบว่าตัวเองเข้าใจผิดก็จะเฉยซะ แต่ถ้าเข้าใจถูกก็จะเปิดใจพูดกัน หากฝ่ายชายเคลียร์ตัวเองได้ก็จบ ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องเลิกรากันไป (เพราะผู้หญิงแบบนี้มองว่าตัวเองก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเขามีคนอื่นแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียเวลากันต่อไปอีก สู้หาแฟนใหม่มาดามใจดีกว่า)

ซึ่งไม่ ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม คุณผู้ชายทั้งหลายก็ควรจะระวังเอาไว้ อย่าปล่อยให้ความระแวงเข้ามาในใจแฟนของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสียคนที่คุณรักไปก็ได้ มีอะไรก็พูดอธิบายให้คนรักของคุณเข้าใจ เพราะบางทีสิ่งที่คุณคิดว่าไม่มีอะไร อาจจะกลายเป็นสิ่งที่กำลังทำลายความรักของคุณอยู่ก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คุณค่าที่แท้จริงแห่งกาลเวลา



เราเข้าใจเรื่องราวของเวลา อย่างที่เคยเข้าใจอย่างนี้บ้างหรือเปล่า...?ตอนเด็กๆ... เมื่ออยากไปทะเล
เราคิดถึงเรื่องราวของน้ำใสๆ ทรายสวยๆ ทิวทัศน์ที่มีบรรยากาศดีๆ
จริงสิไปทะเลบางครั้งเขาบอกว่า ต้องออกอาการแบบเหงาๆ
เท้าที่ย่ำไปบนพื้นทราย รวมกับระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง
สายลมและแสงแดด ไม่ว่ายามเช้าสดใสหรือว่ายามบ่ายแก่ๆ
เมื่อพระอาทิตย์จะตกยังไงก็ยังคงมีเสน่ห์...


ตอนเด็กๆ . . . เมื่อคิดถึงเรื่องราวของภูเขา
เราคิดถึงป่าเขียวขจี เราคิดถึงน้ำตกหรือลำธารที่เย็นชื่นใจ
เราคิดถึงพันธ์ไม้ป่าที่สวยๆ ต้นไม่ใหญ่ที่ทะมึนน่าเกรงขาม
ยังคงคิดถึงเรื่องราวของนกและผีเสื้อสวยงาม และยังมีสัตว์ป่าที่ยังคงมีอยู่
ที่สำคัญคือการผจญภัยมากมายไม่ว่าจะเดินป่า หรือพักแรม
แล้วยังเสน่ห์อีกมากมาย...


ตอนเด็กๆ... เมื่อคิดถึงมื้ออาหาร
เราคิดถึงโต๊ะและบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติก
อยากมีห้องสวยๆ แบบในหนังนะ
อาหารบนโต๊ะต้องมีเยอะที่สุด และแน่นอนต้องมีอาหารโปรดด้วย
ยิ่งวันไหนมีอาหารที่เราชอบที่สุดในโลกบนโต๊ะ...
วันนั้นมื้ออาหารก็จะดีที่สุดในโลกเลย

ตอนเด็กๆ... เรามองสิ่งรอบข้างด้วยความกระวนกระวาย
เพื่อเรียกร้องเพื่อให้ได้มา
บางโอกาสเราหงุดหงิดกับบรรยากาศ
ที่ไม่เหมือนอย่างในละครที่มีแต่ความสุข
เรามักจะเรียกร้องมากมายไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาสวยๆ
เจ้าอุลตร้าแมนหรือเจ้ามดแดงตัวโปรด
ของขวัญหรือสิ่งของภายนอกที่อยากได้
ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ อะไรๆ ก็ไม่ถูกใจไปหมด

แล้วเวลาก็ผ่านไป...
เราเริ่มรู้ว่า ... ไปทะเลที่ไหนมันก็เป็นทะเล
มีน้ำมีหาดทราย มีสายลมและกลิ่นไอของทะเล

เราเริ่มรู้ว่า... ไปภูเขามันก็มีป่าที่มีลำธาร
มีสีเขียวของต้นไม้ ภูเขาก็คือภูเขานั่นแหละ

เราเริ่มรู้ว่า... ทานอาหารอย่างมากก็แค่อิ่มไม่ว่าอาหารจะดีหรือไม่
สถานที่จะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ แต่มันก็กินอิ่มเหมือนกันนั่นแหละ

เราเริ่มรู้ว่า... ข้อเรียกร้องหลายอย่างไม่ใช่เรื่องจำเป็นถึงที่สุด
บางโอกาสถึงขนาดบอกว่าอะไรก็ได้ เพราะอะไร... ?


... เพราะเมื่อเวลาแห่งชีวิตผ่านไปจนเราเข้าใจ...
เราจะรู้ว่า... ไปทะเลก็ไร้ค่า
ไปภูเขาก็ไม่ได้มีความสุข...
ทานอาหารที่ว่าเลิศรส...
บรรยากาศที่ว่า สุดยอดก็ไร้ความรู้สึกที่ดี
การเรียกร้อง และอยากได้ดูเหมือนจะมีข้อจำกัดน้อยลง
เพราะทุกอย่างแม้เราจะได้...
แต่เราไม่มีคนที่เรารัก หรือคนที่เราเคารพอยู่ด้วย
ชีวิตของเราจะเหลืออะไร... ?

คุณค่าของเวลาที่แท้จริง คือการที่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก
หรืออยู่กับคนที่รักเราต่างหาก
อย่ามัวแต่ เรียกร้องสิ่งที่เป็นมายา
จนลืมความสำคัญ... ของคนดีที่อยู่เคียงข้าง


"บางครั้งเราจะรู้คุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ก็ต่อเมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป
แล้วเราก็ไม่สามารถเรียกเอาวันเก่าๆ ที่ดีกลับมาได้อีกเลย"

"การสำนึกผิดเปรียบเสมือนกระจกบานหนึ่ง
ที่สามารถสะท้อนให้เราเห็นถึงความผิดพลาด
ของตนเองอย่างแจ่มชัด
และทำให้เรามีโอกาสแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้องขึ้น"